Shikoku Road Trip ความสดใสของฤดูร้อน ภูเขา ท้องฟ้า และทะเล - ภาค Ehime & Kagawa
- Opp

- 3 ต.ค.
- ยาว 3 นาที

เดือนที่เดินทาง - สิงหาคม 2025
หลังจากเราเที่ยวในเกาะ Shikoku ไปแล้ว 5 วันในจังหวัด Kochi โพสนี้เราจะพาไปเที่ยวจังหวัด Ehime และ Kagawa อีก 2 จังหวัดใน 4 ของชิโกกุ ฤดูร้อนที่สดใสฟ้าสวยยังรอเราอยู่อีก 5 วันเต็มๆ
ทริปฤดูร้อนญี่ปุ่นนี้เราเดินทางรวมแล้ว 10 วันที่จะขับรถจาก Kansai International Airport เข้าสู่ชิโกกุทาง Tokushima และวนรอบเกาะแล้วกลับมาออกทางเดิม ก่อนจะมาเที่ยวหน้าร้อนผมเองก็สงสัยมานานแล้วว่าหน้าร้อนเค้าจะร้อนขนาดไหนกันเชียว วันนี้ได้รู้แล้วว่าบางทีร้อนกว่ากรุงเทพซะอีก ส่วนใหญ่อากาศจะอยู่ที่ 36°c - 39°c กับแดดที่ร้อนแรง เตรียมเสื้อผ้ากันแดดกันมาให้พร้อมนะครับ
ภาค Kochi ในตอนที่แล้ว ดูได้ที่ LINK นี้
Day 1: เครื่องลงตอนบ่าย ขับรถสู่ Kochi City
Day 2: เที่ยวไปตามแม่น้ำนิโยโด ดูน้ำสีฟ้า Niyodo Blue
Day 3: เดินเที่ยวในเมืองโคจิ และออกสู่ Shikoku Karst ก่อนจบวันที่ Shimanto City
Day 4: เที่ยวแม่น้ำชิมันโตะ และขับรถสู่ Cape Ashizuri แหลมใต้สุดของเกาะชิโกกุ
Day 5: เกาะ Kashiwajima
ภาคหน้า Ehime-Kagawa ดูได้จากลิงค์นี้เลย
Day 5: เข้าสู่เมือง Matsuyama จังหวัด Ehime
Day 6: Dogo Onsen และเมือง Uchiko
Day 7: ปราสาท Matsuyama สถานีรถไฟ Mitsu และ สถานีรถไฟ Baishinji
Day 8: เข้าสู่จังหวัด Kagawa เดินสวน Ritsurin ไปวัดที่ Konpira Omotesando จบวันที่ Takaya Shrine และหาด Chichibugahama
Day 9: ทริปฉุกเฉินไปเกาะ Shodoshima
Day 10: วันเดินทางกลับ
Day 5 เข้าสู่เมือง Matsuyama จังหวัด Ehime
ที่เราเริ่มที่วันที่ 5 เลยเพราะว่าเป็นตอนต่อแบบไม่มีขั้นกลางของทริป 5 วันที่แล้วที่จังหวัดโคจิ ที่เที่ยวต่อไปคือการขับรถต่อจากเกาะ Kashiwajima ทันที
Tsunakakeiwa Rock Mishima shrine
ระหว่างทางจะถึงเมืองมัตสึยาม่า เราพากันขับรถเลาะริมทะเลดูวิวไปด้วยจอดถ่ายรูปไปด้วย ที่ศาลเจ้า Tsunakakeiwa มีเสาโทริอิปักอยู่บนโขดหินกลางน้ำที่เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น ในชีวิตเคยคิดอยู่ว่าอยากถามไปถ่ายรูปพวกหินเหล่านี้ที่เค้าตั้งศาลเอาไว้ แต่ว่าจะไปให้ได้ครบนี่คงจะยากมาก วันนี้เอาที่เดียวไปก่อนละกัน
Shimonada Station
ขับรถต่อไปทางทิศเหนือเพื่อไปดูสถานีรถไฟชิโมนาดะ พอมาถึงแล้วก็ยืนงงเล็กน้อย คนเยอะนะ แต่ว่าไม่รู้ทำไมตรงนี้ถึงดัง 555 แต่ไหนๆก็ผ่านมาแถวนี้ก็แวะซะหน่อย สถานีตรงนี้มีรถไฟสายท่องเที่ยว Iyonada Monogatari ที่วิ่งเฉพาะตอนเสาร์-อาทิตย์
หลงรักท้องฟ้าฤดูร้อนของเค้ามากด้วยความที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆ Cumulus (คูมูลัส) ที่ก้อนใหญ่ๆสูงๆ มองออกจากชายฝั่งชิโกกุเราจะเห็นเกาะนอกชายฝั่งลางๆดูลึกลับดี
Setokaze Pass Observation Deck
ขับรถมาถึงเมือง Matsuyama แล้วเราก็เช็คอันที่โรงแรมตรงข้ามกับ Okaido พักผ่อนนิดหน่อยก่อนไปถ่ายรูปที่จุดชมวิวใกล้ๆกัน ขับรถขึ้นไปจะดีกว่ามากเพราะถ้าเดินมาต้องลุยหญ้าขึ้นเขามานะ
Okaido
ถ่ายภาพเสร็จพร้อมบริจาคเลือดให้ยุงแถวนั้น เราไปกินข้าวกันใกล้ๆโรงแรมที่ถนนช้อปปิ้ง Okaido ร้านค้ายามค่ำคืนตกแต่งสวยงามได้บรรยากาศให้เดินเล่นย่อยอาหารหลังกินข้าว
Day 6 Dogo Onsen และเมือง Uchiko
Dogo Onsen Station Square
เช้านี้ตื่นเร็วเหมือนเติมตามแบบฉบับขยันแต่วันเที่ยว หาอะไรกินที่ร้านสะดวกซื้อแล้วเรานั่งรถรางสีส้มสวยสดใส Iyotetsu จากหน้า Okaido มาที่โดโกะ เมืองออนเซ็นโบราณที่มีประวัติศาสตร์นานกว่า 3,000 ปี ครึ่งเช้าวันนี้เราจะเดินรอบเมืองนี้กัน
นั่งรถมาถึงแล้วสถานีเค้าสวยแบบคลาสสิคเหมาะกับรถรางมากๆ
อยู่ในจตุรัสหน้าสถานีคือนาฬิกากุ๊กกู Botchan Karakuri Clock ที่จะมีตุ๊กตาออกมาเต้นๆบางช่วงเวลา ด้านข้างนาฬิกามีบ่อออนเซ็นสำหรับแช่เท้าฟรีๆด้วย
ใกล้ๆกันมี Dogoinari Shrine เป็นศาลเจ้าที่อยู่ข้างเครื่องปั๊มน้ำพุร้อนออกมาจากใต้ดินแล้วส่งต่อไปที่ออนเซ็นในเมืองนี้ หน้าห้องปั๊มน้ำมีก๊อกที่น้ำออนเซ็นไหลออกมาให้สัมผัสให้ล้างมือด้วย
Dogo Onsen Main Building
เรายังไม่เดินในถนนช็อปปิ้งตอนนี้เพราะยังเช้าอยู่ร้านไม่มีเปิดเลย เราเลยเดินไปดูตึก Dogo Onsen Honkan ตึกไม้เก่าแก่ที่เป็นโรงอาบน้ำโบราณประจำเมือง ปัจจุบันนี้เค้าเปิดสาขาสองใกล้ๆกันแล้วแต่ว่าคนก็ยังอยากมาเที่ยวที่นี่อยู่ดี ไหนๆมาแล้วเราก็เลยจองเวลาไปอาบน้ำด้วยหลังจากไปเดินให้เหงื่อท่วมก่อนกินข้าวกลางวัน
ส่วนด้านในนี้ก็คือหลังจากเราเข้าไปใช้บริการแล้ว ขอเล่าให้ฟังตรงนี้เลยละกัน ราคาก็ตามป้ายนี้เลย ราคาจะแพงขึ้นถ้าเราเลือกไปชั้นสูงขึ้น ทั้งหมดมี 3 ชั้น คนที่จ่ายเพื่อไปชั้น 3 จะสามารถใช้ห้องอาบน้ำส่วนตัวได้แล้วใช้ของชั้นอื่นๆได้ด้วย แต่ถ้าจ่ายสำหรับชั้น 2 จะใช้ได้แต่ชั้น 1 และ 2 แล้วคนจ่ายแบบชั้น 1 ก็ใช้ได้ชั้นเดียว
ด้านในเป็นแบบนี้ ไม่เคยเข้ามาโรงอาบน้ำแบบนี้เลย
ด้านในมีจัดแสดงภาพและของโบราณให้ศึกษาประวัติศาสตร์อีกด้วย
Dogo Onsen Sky Walkway & Footbath
ระหว่างนี้เราไปเดินเที่ยวกันก่อน ที่ต่อไปอยู่หลังตึกออนเซ็น เดินขึ้นบันไดไปที่ยอดเนิน ตรงนี้มีบ่อแช่เท้าอีกที่แต่ตรงนี้พิเศษกว่าเพราะดูวิวโดโกะออนเซ็นจากที่สูงได้ระหว่างแช่เท้าอุ่นๆ หลังคาแบบโบราณที่ทับซ้อนกันดูสวยดูเท่มาก ว่าแต่อากาศตอนนี้ร้อนโพดคุณพี่มาแช่น้ำกัน
Enman-ji Temple
วัดเอ็นมันจิ ในอดีตเป็นวัดที่คนแถวนี้มาขอพรให้น้ำพุร้อนไหลไม่ขาดสายเพราะมันคืออาชีพและวิถีชีวิตของเค้า แต่ทุกวันนี้วัดนี้มีชื่อเสียงด้านความรัก วัดเล็กๆที่ด้านหน้ามีถุงผ้าผูกเป็นพวกห้อยเต็มไปหมดและมีสีสันน่ารักไม่ค่อยเหมาะกับพระพุทธรูปด้านในเท่าไหร่
Isaniwa Shrine
ศาลเจ้าอิซานิวะอายุเกือบ 2,000 ปีที่อยู่บนเนินต้องไต่บันไดขึ้นไป บันไดไม่สูงมองอย่างที่ตาเห็น ด้านบนมองลงมาเห็นลานหน้าสถานีกับรถรางส้มของเราด้วยนะครับ
Dogo Park
เดินลงมาจากศาลเจ้าอิซานิวะแล้วเลี้ยวซ้ายไปอีกหน่อยเราจะเจอกับทางเข้าสวนโดโกะ เรามาที่สวนนี้เพราะว่ากลางสวนคือยอดเนินที่เห็นวิวเมืองและปราสาทมัตสึยาม่าพร้อมรางของ Iyotetsu พร้อมกันด้วย
ด้านหน้าสวนยังมีอีกภาพให้ถ่ายคือรถรางคู่กับปราสาทมัตสึยาม่าอย่างใกล้ชิด อยากได้รถรางแบบโบราณแต่รอหลายคันแล้วก็ไม่มีซะที

Dogo-Shoutengai
ถนนช็อปปิ้งหน้าสถานีโดโกะออนเซ็นที่มีร้านอาหารและร้านขายของฝากมากมาย สำหรับเมือง Matsuyama อาหารมีชื่อของเค้าต้องเป็น Taimeshi คือเอาปลาไทมาคลุกกับไข่ดิบแล้วราดข้าว มีร้านขายอาหารจานนี้อยู่ทั่วเมืองเลย
Karari Farmer's Market & Restaurant
หลังจากตระเวณแถว Dogo Onsen ในครึ่งเช้า เรามีเวลาตอนบ่ายเลยขับรถมาเที่ยวเมือง Uchiko ที่ห่างออกไปประมาณ 45 นาที เอามาเที่ยวตามโบรชัวร์ที่โรงแรมมีให้อีกแล้วและที่แรกที่เค้าแนะนำสำหรับคนขับรถเที่ยวคือตลาดชาวไร่ชาวสวนคาราริที่อยู่ปากทางเข้าเมือง
ผลไม้ที่ขายที่นี่ราคาถูกมาก อะไรที่แพงที่เมืองไทยที่นี่ถูกทั้งหมด ซื้อเพลินเลย
ท้ายตลาดยังมีร้านอาหารริมน้ำ และเดินลงบันไดไปที่ริมตลิ่งมีคนเล่นน้ำอยู่เยอะเลย ชอบมากแม่น้ำใสๆแบบนี้
ด้นหน้าตลาดเราหันไปเห็นเครื่องสีข้าวเปลือกอัตโนมัติแบบหยอดเหรียญแบบนี้ด้วย ไม่รู้ที่ประเทศไทยมีมั้ย ไม่ต้องไปง้อโรงสีเลย

Tamaru Bridge สะพานที่มีหลังคา (แล้วมันยังไง)
สะพานไม้สนซีดาร์ในชนบท ไม่รู้ว่ามันพิเศษอะไรแต่เราแค่ตามไกด์บุ้กมา 555 แต่ที่ข้างๆสะพานมีสวนดอกไฮเดรนเยียด้วยแต่ตอนเราไปมันแห้งหมดแล้ว ถ้ามาถูกฤดูน่าจะสวยอยู่น้า

Ishidatami Seiryu-en Park กังหันน้ำโบราณ
ตรงนี้มีกันหันน้ำแบบโบราณ 2 อัน เป็นพลังงานธรรมชาติและอุปกรณ์อัตโนมัติยุคแรกๆของมนุษย์เลย แต่ขาดความสะดวกสบายเพราะการใช้งานใช้ได้แต่ที่ริมน้ำเท่านั้น โผล่หน้าไปดูด้านในเหมือนว่าเค้าจะใช้ตำข้าวกันโดยใช้กลไกจากการหมุนของกังหันปั่นเฟืองให้ไม้ด้านในขยับขึ้นลงเพื่อตำข้าวโดยอัตโนมัติ
Yuge Shrine ศาลเจ้าและสะพานไม้ข้ามบึง
ขับรถผ่านทางเขาอีกแล้วเพราะไปที่ศาลเจ้ายุกเกะ ศาลเจ้าเล็กๆแต่สวยที่สะพานไม้ตรงทางเข้า ระหว่างทางได้เห็นนาข้าวสีเขียวอ่อนก็สวยเหมือนกัน
Uchiko Yokaichi Gokoku เมืองโบราณสมัยเอโดะ
เมือง Uchiko เต็มไปด้วยอาคารตั้งแต่สมัยเอโดะ หรือสมัยที่ญี่ปุ่นยังมีโชกุนปกครองประเทศอยู่ เต็มไปด้วยร้านค้าโบราณและพิพิธภัณฑ์ ความบ้าบอคือเรามัวแต่ไปเที่ยวนอกเมืองตามไกด์บุ้กอยู่พอมาถึงในเมืองเค้าปิดร้านรวงกลับบ้านนอนกันหมดแล้วจ้า แถวนี้ปิดร้านไวมาก ใครจะมาต้องมาก่อน 5 โมงนะ ยกเว้นว่าอยากมาถ่ายรูปกับถนนเงียบๆแบบนี้ก็สวยไปอีกแบบ
เดินเที่ยวนิดหน่อยกับเมืองร้างๆแล้วกลับมาหาข้าวกินกันในเมืองมัตสึยาม่าเหมือนเดิม วันนี้ท้องฟ้ายามเย็นสวยงามเหมือนเดิม
Day 7 ปราสาท Matsuyama และ สถานีรถไฟชานเมือง
เช้านี้เราไปเที่ยวปราสามมัตสึยาม่ากัน ปราสาทนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาค่อนข้างสูงเลย คนส่วนใหญ่เลยไปเที่ยวโดยการนั่งเคเบิลคาร์หรือแชร์ลิฟท์

ปราสาทมัตสึยาม่า
อันดับแรกไปซื้อตั๋วที่สถานี Matsuyama Castle Ropeway ซื้อแบบไปกลับจะได้ราคาถูกกว่าที่ 520 เยนต่อผู้ใหญ่ 1 คน สำหรับเด็กอยู่ที่ 260 เยน ส่วนจะนั่งเก้าอี้ขาลอยหรือตู้มิดชิดก็แล้วแต่เราเลือกเลย เพียงแต่ตู้เคเบิลคาร์อาจจะต้องรอนานนิดนึง
พอถึงด้านบนแล้วก็ยังต้องเดินนิดหน่อย วันนี้เราก็ไม่เข้าในปราสาทอีกเช่นเคย ขอดูข้างนอกพอละนะ
ด้วยความที่ปราสาทตั้งอยู่บนเขา ตรงนี้เลยเห็นวิวเมืองสวยเหมือนกัน
ถนนด้านหน้าสถานีกระเช้าก็สวยมีเสน่ห์ ถึงแม้จะไม่ได้มีตึกสวยๆอะไรแต่ความสะอาดความมีระเบียบ ถนนเรียบๆเส้นชัดๆ มันทำให้ดูดีแบบเรียบง่ายมากๆ อิจฉาเขานะ เป็นเมืองเล็กๆในเมืองห่างไกลด้วยซ้ำ
Matsuyama Comprehensive Park Observation Tower
หลังจากเที่ยวแถวโรงแรมแล้วเราไปต่อกันที่สวนที่ขับรถไปได้ ชื่อสวนแปลกๆแต่ว่าเค้ามีหอชมวิวที่เห็นเมืองมัตสึยาม่าได้รอบเลย ด้านตะวันออกเห็นปราสาท ด้านตะวันตกเห็นทะเล
Mitsu Station
สถานีรถไฟมิตสึ ชานเมืองของมัตสึยาม่าที่มีตัวสถานีเล็กๆหน้าตาน่ารักย้อนยุค ที่ชานชะลาสามารถดูรถไฟได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย
นอกจากดูรถไฟแล้วตรงข้ามกับสถานียังมี Mitsuhama Shopping Street ถนนย่านการค้าเก่าแก่ที่มีอาคารตั้งแต่สมัยเอโดะยังหลงเหลืออยู่ แต่ว่าที่ตรงนี้เงียบมาก ที่เงียบเพราะเรามาวันที่เค้าปิด! เค้าจะปิดทุกวันพฤหัสบดี ถ้าอยากเดินเล่นแบบไม่มีใครเลยก็มาวันนี้ บ้านเรือนย้อนยุคคู่กับท้องฟ้าฤดูร้อนมันเข้ากันดีนะ
Baishinji Station
หลังจากนั้นเราไปต่อกันที่อีกสถานีรถไฟ ไบชินจิเป็นชื่อวัดใกล้ๆที่คนไม่ค่อยไปกันเพราะมาแค่ถ่ายรูปที่สถานีอย่างเดียว ที่สถานีมีร้านขายของฝาก Mican Park Baishinji ที่ขายของฝากเกี่ยวกับน้องมิแคน มาสค็อตประจำจังหวัดเอฮิเมะ ที่ชั้นสองของร้านมีร้านน้ำและจุดชมวิวรถไฟ ไปนั่งหลบแดดได้จนถึง 4 โมงเย็น
นั่งดูรถไฟจนร้านปิดแล้วเลยต้องออกไปเดินตากแดดอีกแล้ว ตรงนี้รถไฟตัดกับสีน้ำทะเลสวยมากเลย
สถานีเค้าไม่มีรั้วกั้นเราเลยเดินไปถ่ายรูปเฉยๆไม่ได้แอบขึ้นรถไฟฟรี พึ่งรู้ตอนกลับถึงบ้านแล้วว่าสถานีนี้เค้าใช้ถ่ายละครตั้งแต่สมัยปีค.ศ. 1991
Ebisu Shrine
ศาลเจ้าเล็กๆใกล้ๆกับสถานี แวะไปดูนิดหน่อยก่อนกลับโรงแรมเรา มีแค่นี้แหละครับ
กลับมาถึงโรงแรมฟ้ายังสว่างเลยเดินไปถ่ายรูปรถรางคู่กับปราสาทอีกรูปที่สถานี Shiyakusho-Mae
Day 8 เข้าสู่จังหวัด Kagawa
เช้านี้เราขับรถออกจากจังหวัดเอฮิเมะกันแล้วและเข้าสู่คางาวะทางทิศตะวันออก จังหวัดสุดท้ายของทริปชิโกกุของเรา ระยะทางไม่ไกลเราก็เข้าถึงเขตจังหวัดคางาวะ อันดับแรกเราไปเช็คอินที่เมือง Takamatsu กันก่อน เกาะชิโกกุนี้มีเมืองชื่อมัตสึๆเยอะมากจนงง
ในเมืองทาคามัตสึ เราไปเที่ยวที่สวน Ritsurin กันก่อนเลย เป็นสวนญี่ปุ่นขนาดใหญ่กลางเมือง ตอนแรกก็กะว่าไปเดินดูนิดหน่อยแต่พอไปถึงแล้วได้แผนที่ตามล่าสมบัติ (ตราประทับ) ถ้าสะสมครบแล้วเอาไปแลกของที่ระลึกได้เป็นสติกเกอร์หนึ่งใบ เราเล่นเพื่อคุณจะได้ไม่ต้องเล่น เดินเหนื่อยมากได้สติกเกอร์ 1 ใบ
ตามจุดต่างๆของสวนก็จะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป เช่นตรงนี้จัดแสดงมุมหลังคากระเบื้องที่ปั้นเป็นรูปต่างๆ
เดินดูทั้งอาคารเก่าและต้นไม้
ต้นไม้ที่ตัดแต่งอย่างสวยงาม
ตามสวนมีร้านขนมอยู่ประปรายทั่วสวน จะกินขนมหรือซื้อของที่ระลึกก็มี
เดินไปได้ซักพักเราก็เวียนมาเจอกับร้านชา Kikugetsu-tei นั่งกินมัตฉะใส่น้ำแข็งกันก่อน กินเสร็จแล้วเค้าให้เดินดูห้องต่างๆได้ด้วย ค่าชาและขนม 800 เยน
จุดสุดท้ายที่สะพานโค้งข้ามทะเลสาบใกล้ๆร้านขนม Fukiage-tei
Konpira Omotesando
ขับรถย้อนกลับไปทางที่ผ่านมาถึงเมือง Kotohira เพื่อไปเดินขึ้นบันไดเกือบพันขั้นไปเที่ยววัดบนเขา ด้านล่างเป็นถนนช็อปปิ้งที่อยู่บนเนิน ไว้เดินขึ้นบันไดเหนื่อยแล้วแวะดูสินค้าพักเหนื่อย แถวนี้มีขายอุด้งจากเมืองซานูกิที่เลื่องชื่อด้วย เส้นเค้าเหนียวหนึบอร่อยจริงๆ ตอนแรกผมก็คิดว่าแค่มาร์เก็ตติ้ง แต่ตอนนี้ยอมรับแล้วว่าอร่อย
เดินขึ้นมา 365 ขั้นแล้วถึงจะได้เจอทางเข้าวัด มองลงไปเห็นเลยว่าขึ้นมาสูงมา วัดนี้ชื่อว่า Kotohiragu ด้านในยังมีบันไดอีก
ที่ประมาณ 500 ขั้นจะได้เจอกับวิหารไม้ขนาดใหญ่แบบนี้เลย แดดตอนนี้กำลังสวย
เดินมาถึงโซน 785 ขั้นจะเจอวิหารหลักของวัด ตรงนี้ทางเดินสวยมากเหมาะแดดยามเย็น มองออกไปจะเห็นวิวกว้างๆอีกด้วย
ผมลองเดินต่อไปอีกประมาณร้อยกว่าขั้นได้จนเจอศาลเจ้าที่ไม่รู้ชื่อตรงนี้ ถ้าไปสุดทางต้องเดินทั้งหมด 1368 ขึ้น แต่เวลาเริ่มล่วงเลยเลยตัดใจไม่ไปต่อแล้วกัน แต่เปิด Google Maps ดูแล้วก็ไม่ได้พลาดอะไรไปนะ
Tsushima Shrine
ไปต่อกันที่จุดหยุดสั้นๆที่ศาลเจ้าซึชิมะที่อยู่นอกชายฝั่งจะเปิดให้เข้าไปได้แค่ 2 วันต่อปีเท่านั้นในช่วงเทศกาลฤดูร้อนวันที่ 4 และ 5 สิงหาคม วันอื่นๆก็สามารถดูได้จากบนฝั่งแต่จะเห็นว่าบนสะพานไม่มีไม้กระดานให้เดินเพราะเค้าเอาออกหมด
Takaya Shrine
ห่างไปไม่ไกลคือศาลเจ้าทาคายะที่อยู่บนยอดเขาและมีเสาโทริอิสูงเทียมฟ้า ถ้าขับรถไปสามารถจอดบนเขาได้เลยแต่ก็ยังต้องเดินอีกนิดหน่อย แต่ถ้านั่งรถไฟมาตั้งเดินขึ้นบันไดมาถึงยอดเลยนะ อาจจะหมดลมก่อนถึง การปักหมุดใน Google Maps ให้ปักที่จอดอย่าไปปักที่ศาลเพราะ Google จะพาไปที่ทางเดินขึ้นข้างล่าง
ดูศาลเจ้าแล้วอย่าพึ่งรีบกลับเพราะมีพุ่มไม้ใกล้ที่จอดที่มองออกไปที่ทะเลเห็นวิวแบบนี้เลย

Chichibugahama Beach
ชายหาดชิชิบุ อยู่ใกล้ๆศาลเจ้าทาคายะเลยเป็นที่สุดท้ายของวันนี้แล้ว เรามานั่งดูพระอาทิตย์ตกกันพร้อมคนญี่ปุ่นมากมายที่มาเที่ยวถ่ายภาพแบบนี้ เพราะเวลาน้ำลงบนหาดมีน้ำขังที่ไหลลงทะเลไม่ได้นองๆอยู่ มีบริการรับจ้างถ่ายรูปพร้อมพร๊อพด้วยนะ
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้วได้เวลาขับรถไปหาข้าวกิน พรุ่งนี้วันเที่ยววันสุดท้ายของเราแล้ว
ขากลับขึ้นเขาเห็นจุดชมวิวเลยขอแถมอีกรูป

Day 9 อยู่ดีๆก็ได้ไปเกาะ Shodoshima
ที่บอกว่าอยู่ดีๆก็ไปเพราะว่าคืนก่อนหน้าเรายังนั่งคิดอยู่เลยว่าจะไปเที่ยวไหนดีเพราะว่าคิดแผนมาไม่ครบตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านและทัวร์ที่อยากไปในโอซาก้ามันเต็มแล้วของไม่ทัน ทีนี้ก็ไปรวบรวมโบรชัวร์มากมายจากล็อบบี้โรงแรมแล้วจบลงที่โชโดะชิมะซึ่งต้องข้ามเรือเฟอร์รี่ไป พยายามหาวิธีจองตั๋วเรืออยู่นานแต่ว่าเว็บญี่ปุ่นมั่นคงในมาตรฐานการใช้ยากเว็บไซต์ดูไม่รู้เรื่อง ตอนแรกก็กังวลว่าจะมีที่นั่งบนเรือมั้ยก็ไม่รู้เลยลงไปถามพนักงานโรงแรมตอนเช้าเค้าบอกว่าจองอะไรพี่ ขับรถไปโลด
เกาะโชโดะชิมะมีชื่อเสียงด้านผลิตภัณฑ์จากมะกอก และเส้นบะหมี่โซเมน อร่อยจริงๆโดยเฉพาะเส้นสด
พอมาถึงแล้วเค้าก็ให้เอารถไปต่อแถวแล้วดับเครื่องลงไปซื้อตั๋วข้ามพร้อมรถ นี่คือราคาค่าโดยสาร

เวลาเดินทางอยู่ที่ 60 นาที แต่ว่าถ้าใครโชคดีบนเรื่องเป็นลายโปเกม่อนยาดงหรือ Slowpoke ด้วย ไม่รู้ที่มาที่ไปเป็นยังไงแต่เค้าคนนี้กลายเป็นมาสค็อตของจังหวัดคางาวะไปได้ บนเรือมีทั้งสติกเกอร์ มีหุ่น มีอุด้งลายยาดง น่ารักไป๊
Angel Road
ถนนเทวดา ชื่อน่าเอาผ้าสามสีไปผูก เอาง่ายๆคือทะเลแหวกที่เดินไปได้ไกลถึงเกาะข้างหลังโน้นเลย
Hoshoin Temple
วัดโฮโชอิน เป็นที่ตั้งของต้นสน Shinpaku Juniper อายุกว่า 1,600 ปี ลำต้นใหญ่คดเคี้ยวบ่งบอกถึงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
Kankakei Ropeway
ที่ต่อไปเราไปกันที่ Kankakei Ropeway Kountei Station ทางขึ้นไปบนยอดเขาที่อุทยานคันคะเค ราคาดูได้ตามด้านล่างเลยครับ

ด้านบนมีให้เดินเที่ยวบนแนวเขาเล็กน้อย แต่ด้วยอากาศร้อนๆก็เหนื่อยพอสมควร จริงที่นี่เป็นที่นิยมมากในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ดูจากรูปก็สวยดีนะแต่ว่าเราได้มาหน้าร้อนต้นไม้เขียวชะอุ่ม แต่ถึงจะร้อนมากแต่เห็นมีบางกิ่งใบไม้แดงแล้ว
Marukin Soy Sauce Museum
บนเกาะโชโดะชิมะยังมีหมู่บ้านหนึ่งที่ถูกขนานนามว่าหมู่บ้านซีอิ๊ว หรือหมู่บ้านโชยุ Hishio-no-sato เพราะว่าอาคารหลายหลังเป็นส่วนหนึ่งของโรงงานโชยุที่อยู่มามากกว่า 100 ปี พิพิธภัณฑ์เค้าเล็กๆแต่ก็อธิบายขั้นตอนการทำซีอิ๊วอย่างละเอียดและยังมีโชว์เครื่องมือโบราณทั้งถังไม้ไว้หมักซีอิ๊วขนาดยักษ์ คานไม้สำหรับกดรีดซีอิ๊วออกจากถั่วเหลือง ค่าเข้า 500 เยนแต่เค้าจะให้ voucher ไว้ไปซื้อของในร้านของที่ระลึกได้ ในร้านนั้นเห็นมีแต่คนกินซอฟท์เสิร์ฟรสโชยุ แปลกมาก
เดินดูนิทรรศการด้านในแล้วเค้าก็มีป้ายบอกให้ไปดูด้านนอกด้วย เดินดูโรงงานบางส่วน และสุดท้ายคือโรงหมักที่มีหน้าต่างให้ส่องดูด้านใน แต่กระจกมันมัวจนไม่เห็นอะไรเลย เลยถ่ายรูปที่เค้าโชว์ไว้มาแทน

Shodoshima Olive Park
จุดสุดท้ายของ day trip ของเราแล้ว ที่จริงคิดจะไปอีกที่คือฉากถ่ายหนังเรื่อง Twenty-Four Eyes ที่ก็ไม่เคยดูแต่เหมือนใครๆเค้าก็ไปกัน เหมือนว่าเป็นหนังยุค 80 เกี่ยวกับครูที่ต้องมาสอนหนังสือที่เกาะนี้ เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับความเจ็บปวดของสงครามที่คนที่ไม่เคยต้องไปรบต่างเสี้ยนอยากจะไป
อันนั้นไม่ได้ไปแต่ก็ไปหามาเล่าเป็นตุเป็นตะ มาถึงที่สวนมะกอกของเรา ตรงนี้เป็นสวนใหญ่มากแต่ที่จอดก็ไม่ค่อยจะพอ คนส่วนใหญ่มาเที่ยวที่นี่เพราะมีความเกี่ยวข้องกับการ์ตูน Ghibli เรื่องแม่มดน้อยกิกิ (Kiki's Delivery Service)
ป้ายนี้บอกว่าตรงนี้คือฉากสำหรับการ์ตูนแม่มดน้อยกิกิ แต่ผมก็งงว่าการ์ตูนทำไมต้องมีฉากในชีวิตจริงด้วย แถมไม่เคยดูอีก นอกจากบ้านแล้วก็ยังมีกังหันลมที่คนพากันเอาไม้กวาดแม่มดที่เช่าได้จากร้านขายของฝากเอามากระโดดๆถ่ายรูปกัน ใครเป็นแฟน Ghibli ไม่ควรพลาด
รอบๆนี้ก็สวยเหมือนกันนะ มีเรือนกระจก มีบ้านสไตล์ยุโรปริมทะเล บรรยากาศดีมากถ้าไม่ร้อน 39 องศา
ถึงเวลาเดินทางกลับแล้วเพราะเราต้องขับรถ 4 ชั่วโมงเพื่อไปโอซาก้ารอกลับบ้านวันรุ่งขึ้น ถ้ามืดเกินไปเดี๋ยวจะเหนื่อยมากไป และไม่รู้ทำบุญด้วยอะไรถึงได้นั่งเรือยาดงอีกแล้ว
ก่อนจากลาฝากภาพเซ็ตสุดท้ายจากเรือเฟอร์รี่ Olive Line วิวยามเย็นจากท้องทะเล และเกาะห่างไกลที่เห็นได้เลือนๆดูไปแล้วคล้ายภาพวาด ถึงจะร้อนแต่ก็คงคิดถึงท้องฟ้าสดใสของฤดูร้อนของญี่ปุ่น
ทริปเอฮิเมะ-คางาวะ และทริปชิโกกุของเราก็จบลงแล้ว ถือว่าเป็นการเที่ยวแบบสบายๆตารางหลวมๆครึ่งหนึ่งของเราเพราะเหนื่อยกับความร้อนมามากแล้ว หวังว่าเพื่อนๆจะได้อรรถรสจากเรื่องราวการเดินทางของเราและจะติดตามเราต่อๆไปอีกนะครับ
ฝากผู้มีจิตเป็นกุศลติดตามกดไลค์เพจของผมด้วยนะครับ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับผม






























































































































































































































































































































































































































































































































































































































ความคิดเห็น