Shikoku Road Trip ความสดใสของฤดูร้อน ภูเขา ท้องฟ้า และทะเล - ภาค Kochi
- Opp

- 28 ก.ย.
- ยาว 3 นาที
อัปเดตเมื่อ 29 ก.ย.

เดือนที่เดินทาง - สิงหาคม 2025
ใครบ้างเคยได้ยินชื่อ Shikoku น้อยคนยิ่งกว่าเคยได้ยินชื่อ Kochi จังหวัดโคจิเป็น 1 ใน 4 จังหวัดของชิโกกุและเป็นจังหวัดที่ใหญ่ที่สุดในทั้ง 4 อีกด้วย ชิโกกุในภาษาญี่ปุ่นว่า 四国 ที่แปลตรงๆว่า 4 ประเทศ Tokushima, Kochi, Ehime และ Kagawa
ทริปฤดูร้อนใจญี่ปุ่นนี้เราเดินทางรวมแล้ว 10 วันที่จะขับรถจาก Kansai International Airport เข้าสู่ชิโกกุทาง Tokushima และวนรอบเกาะแล้วกลับมาออกทางเดิม ก่อนจะมาเที่ยวหน้าร้อนผมเองก็สงสัยมานานแล้วว่าหน้าร้อนเค้าจะร้อนขนาดไหนกันเชียว วันนี้ได้รู้แล้วว่าบางทีร้อนกว่ากรุงเทพซะอีก ส่วนใหญ่อากาศจะอยู่ที่ 36°c - 39°c กับแดดที่ร้อนแรง เตรียมเสื้อผ้ากันแดดกันมาให้พร้อมนะครับ
ภาคนี้ Kochi
ภาคหน้า Ehime-Kagawa ดูได้จาก LINK นี้เลย
Day 5: เข้าสู่เมือง Matsuyama จังหวัด Ehime
Day 6: Dogo Onsen และเมือง Uchiko
Day 7: ปราสาท Matsuyama สถานีรถไฟ Mitsu และ สถานีรถไฟ Baishinji
Day 8: เข้าสู่จังหวัด Kagawa เดินสวน Ritsurin ไปวัดที่ Konpira Omotesando จบวันที่ Takaya Shrine และหาด Chichibugahama
Day 9: ทริปฉุกเฉินไปเกาะ Shodoshima
Day 10: วันเดินทางกลับ
Day 1 จาก Kansai International Airport สู่ Kochi
เริ่มต้นการเดินทางของเราที่สนามบินที่เมืองโอซาก้า ถ้าเราจะขับยิงยาวไปถึงตัวเมืองโคจิเลยจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงทีเดียว เพราะแบบนั้นเลยแวะเที่ยวตามทางพร้อมจอดพักบ้าง การเดินทางจากเกาะฮอนชูสู่เกาะชิโกกุมีหลายทางเลือก ส่วนเราที่มาจากโอซาก้านั้นเราจะข้ามเกาะตรงเมืองโกเบ
ข้ามสะพาน Akashi-Kaikyo จากโกเบสู่เกาะอาวาจิที่ผมเรียกว่าอาวาจิคีรีขันธ์ เพราะเกาะนี้รูปทรงยาวๆขับเท่าไหร่ก็ไม่พ้นเกาะซักที หลังจากขับรถมานานมากเราก็ข้ามสะพาน Onaruto และเราก็จะเข้าสู่เกาะชิโกกุอย่างเป็นทางการ
Naruto Park
ที่ Naruto Park เป็นจุดจอดและที่เที่ยวหลักๆหนึ่งที่เพราะที่ใต้สะพาน Onaruto เป็นที่ที่เต็มไปด้วยน้ำวนที่เกิดจากกระแสน้ำและโขดหินกับเสาตอม่อสะพาน มีเยอะจนเค้าทำทัวร์ลงเรือไปดูน้ำวนแบบใกล้ชิดที่เราเวลาไม่พอจะไปดู สำหรับเราขึ้นเขาไปดูวิวสะพาน ขึ้นเขาเราไม่ต้องเดินเพราะสามารถซื้อบัตรขึ้นบันไดเลื่อนได้เลย ถูกใจคนชอบใช้เงินแก้ปัญหา
มองออกไปเห็นวิวไกลโพ้นและลมแรงมากจนตาแห้งกันไปเลย
นอกจากดูวิวบนเขา ตอนเราขับมาที่ Naruto Park จากทางด่วนได้ขับผ่านหาดที่มองเห็นสะพานจากริมทะเลด้วย สามารถเสิชชื่อชายหาดตามนี้ได้เลย 千鳥ケ浜海岸
เที่ยวเล่นแถวสะพานจนลืมดูเวลาทำให้ไปวัด Ryozen-ji ที่อยากไปไม่ทันเวลาปิดซะแล้ว 555 เลยต้องมุ่งหน้าสู่โรงแรมที่ Kochi City กันเลย วันนี้จบลงแบบกินข้าวร้านลุงป้าที่เปิดอยู่ร้านเดียว
Day 2 Nikobuchi - Suishobuchi - Niyodogawa
วันที่สองนี้เต็มไปด้วยกิจกรรมกลางแจ้งที่ทำให้เราได้สัมผัสฤดูร้อนญี่ปุ่นแบบเต็มข้อ แต่ว่าที่เที่ยวของเราวันนี้เป็นลำธารใสไหลเย็นที่เป็นเหมือนจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวมาสู่จังหวัดโคจิ อันที่จริงแล้วเราแทบจะไม่ได้เห็นนักท่องเที่ยวชาติอื่นนอกจากคนญี่ปุ่นเลยเพราะเมืองนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่รู้จักดี
แถมนิดนึง คือเมื่อวานตอนขับรถเข้าโคจิเราผ่านทุ่งนาเขียวขจีมาตลอดทางแล้วแสงตอนเย็นที่กระทบนาข้าวมันสวยมากจนอยากจะเห็นใกล้ๆได้ถ่ายรูปเค้า วันนี้เลยเปิดหาดูว่าตรงไหนไปถ่ายรูปนาขั้นบันไดได้บ้าง เลยลองมาที่ Yoshinobu Rice Terraces ที่แหวก Google Maps เจอ พอไปถึงที่จริงแล้วถนนน่ากลัวพอสมควร บางจุดแคบมากจนต้องยอมแพ้ (แคบจนต้องพับกระจกข้าง) เพราะมันเป็นถนนที่ชาวบ้านขับไปไร่ไปสวนเค้า แต่เราก็ได้เห็นมุมนี้ก่อนยอมแพ้ถอยกลับมา จริงๆในทริปเราวันอื่นๆจะมีไปนาขั้นบันไดอีกที่ไปง่ายกว่าและสวยกว่า ตรงนี้ไม่ต้องไปหาทำก็ได้นะครับ
Nikobuchi / Niko Deep
ขับรถจากถนนหลวงเข้าไปในหุบเขาซักพักก็จะเจอที่จอดรถที่ทำไว้สำหรับคนที่มาที่นิโคะบุจิ น้ำตกศักดิ์สิทธ์ของคนแถวนี้ และสีฟ้าของน้ำตรงนี้ยังได้รับสมญานามว่า Niyodo Blue หรือสีฟ้าของนิโยโดอีกด้วย น้ำใสสีฟ้าสวยมาก น้ำตกยังห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้สีเขียวทำให้ที่ตรงนี้เย็นสบายกว่าอากาศหน้าร้อนข้างนอก ถ้ารูปมีเสียงที่ตรงนี้จะมีแต่เสียงจั๊กจั่นร้องระงม
แม่น้ำนิโยโดเป็นแม่น้ำสายหลักสายหนึ่งของจังหวัดโคจิที่จะไหลออกสู่ทะเลแถวๆเมืองโทสะ (Tosa) ข้างๆกับตัวเมืองโคจิ และที่เที่ยวสวยๆน้ำใสๆทั้งหลายต่างอยู่ที่ลำธารต้นน้ำที่จะไปรวมกับแม่น้ำนิโยโดทั้งสิ้น พอรู้เรื่องนี้คร่าวๆแล้วก็ทำให้เห็นถึงความสำคัญของลำธารต่างๆมากขี้นมาเลยนะครับ
Suishobuchi
นั่งพักผ่อนตรง Nikobuchi ซักพักเราก็ขับรถออกมาซื้อข้าวปั้นเซเว่นก่อนมุ่งหน้าสู่ Yasui Valley ที่ที่เราจะไป Suishobuchi สวนธรรมชาติริมแม่น้ำยาสุอิ ตรงนี้เป็นอีกจุดห้ามพลาดถ้าได้มาที่โคจิเพราะว่าน้ำตกสวยและน้ำใสระยิบระยับแบบแค่เห็นก็สดชื่นแล้ว
ก่อนถึงซุยโชบุจิเราจอดแวะกินข้าวปั้นที่น้ำตก Mikaeri Falls กันซักครู่ กินข้าวไปฟังเสียงน้ำตกไปด้วย

พอมาถึงแล้วก็พบว่าแถวนี้เป็นเส้นทางเดินในธรรมชาติที่ใหญ่และเดินได้เยอะมาก แต่เราก็เลือกเน้นไปที่ Suishobuchi เพราะตรงนี้แหละเป็นไฮไลท์ของเค้า ที่จอดรถเค้ามีให้ตลอดทางเพราะงั้นเราก็ขับไปจอดใกล้ๆเลยจะได้ไม่ต้องเดินเยอะแยะ พอจอดแล้วลำธารจะอยู่ด้านล่าง ทางเดินลงไปร่มรื่นเขียวสดชื่นตลอดเส้นทาง
ลงมาถึงริมลำธารแล้วก็ได้แต่ร้องว้าว อู้หูว อะไรกันเนี่ย มันสวยมาก น้ำใสเหมือนอัญมณี สีฟ้าอ่อนๆไหลเบาๆมีเสียงจ๊อกๆต่อเนื่องเคล้ากับเสียงจั๊กจั่นเรไร ตรงจุดนี้เราเดินตามป้ายไปที่ Seriwari Cave ตอนแรกก็รู้ว่าถ้ำเป็นยังไง พอไปเห็นของจริงแล้วเป็นรูเล็กๆตรงหินที่เหมือนหน้าต่างมองออกไปที่น้ำในสีฟ้า
ตรงที่ผ่านมานี้ยังไม่ใช่ Suishobuchi แต่อย่างใดเพราะของจริงต้องเดินทวนกระแสน้ำเข้าไปอีก ระหว่างทางเดินก็สวยงามใกล้ชิดธรรมชาติ เดินเล่นได้เพลินๆเลย
เดินมาอีกไม่ไกลก็เจอแล้ว ตรงนี้เหมือนเป็นแอ่งตื้นๆให้ได้เห็นสีฟ้า Niyodo Blue ชัดเจน นี่เอง Suishobuchi
ถึงตรงนี้อย่างพึ่งหันหลังกลับ เดินต่อไปเราจะได้เจอกับน้ำตก Hairyu Falls น้ำตกเล็กๆที่แตกเป็นหลายร้อยเส้น ถนนด้านบนสามารถขับรถผ่านได้ด้วยนะ แต่ก็จะแคบนิดนึง

เดินต่อมาก็จะเห็นเขื่อนน้ำล้น Sabo Dam แล้ว ตรงนี้ถ้าเป็นฤดูน้ำเยอะน้ำจะไหลลงมาเป็นม่านเลย แต่ว่าตอนเรามาฝนไม่ตกเลยเลยได้น้ำเส้นเดียวอยู่ริมๆสันเขื่อน แต่ก็สวยมากอยู่ดีเพราะตรงหน้าเขื่อนน้ำลึกจนเห็นสีฟ้านิโยโดชัดเจนมาก อยากจะโดดลงไปเล่นน้ำมากแต่ว่าตรงนี้เค้ามีป้ายห้ามลงเล่นน้ำนะ
Ikegawa Cha-en Cafe
ร้านขนมร้านหนึ่งในเมือง Niyodogawa ร้านนี้อยู่ริมแม่น้ำโดอิที่ไหลไปรวมกับแม่น้ำนิโยโด นอกจากมากินขนมท่ีร้านนี้ได้แล้วเรายังไปเล่นน้ำในแม่น้ำได้อีกด้วย เปลี่ยนเสื้อผ้าในรถลำบากนิดนึงแต่ก็คนน้อยมากแบบไม่มีใครมารบกวนเวลาแช่น้ำเย็นๆเลย น้ำตรงนี้ใสสะอาดเย็นเจี๊ยบดับร้อน นั่งพิมพ์บล็อกอยู่ที่บ้านยังคิดถึงเลย
เล่นน้ำจนเวลาล่วงเลยจนไม่ได้ไปเที่ยวที่อื่น เพราะจากตรงนี้ต้องขับรถกลับเมืองโคจิเป็นเวลา 1 ชั่วโมงนิดๆ ระหว่างทางได้แวะร้าน Chateraise ร้านเบเกอรี่ญี่ปุ่นที่ชอบมาก มาถึงที่แล้วมันก็ต้องโดนหน่อย แต่จะบอกว่าพายแอปเปิ้ลที่สาขาแถวบ้านอร่อยกว่าที่ญี่ปุ่นแหละ
หาด Katsurahama
เวลาไปตรงนี้ให้จอดรถที่ Katsurahama Park Parking Lot แล้วเดินออกมาจากที่จอดจะเจอบันไดนี้ เดินขึ้นไปก็จะมีป้ายบอกทางชัดเจนแล้ว
จุดแรกคืออนุสาวรีย์ของซากาโมโตะ เรียวมะ ผู้ที่เป็นซามูไรและนักการเมืองคนสำคัญในช่วงบะคุมัตสึหรือปลายยุคเอโดะ คุณคนนี้มีบทบาทสำคัญในการโค่นล้มระบอบเผด็จการโชกุนโทกุกาวะ และพาญี่ปุ่นเข้าสู่การปฏิรูปเมจิรวมถึงการทำให้ญี่ปุ่นก้าวสู่ความทันสมัย เฮียเค้าเชื่อมั่นมากในอุดมการณ์ยกเลิกระบบศักดินา ผลักดันการปฏิรูป เรียวมะถูกลอบสังหารที่เกียวโตในปี 1867 แต่ชีวิตอันดราม่าและผลงานที่ยิ่งใหญ่ยังคงสร้างแรงบันดาลใจ และได้รับการยกย่องในจังหวัดโคจิ บ้านเกิดของเขา
เดินต่อมาริมหาดก็เริ่มเห็นหน้าผาที่ศาลเจ้า Watatsumi ตั้งอยู่ ตัวศาลก็เล็กนิดเดียว แต่เราได้มาดูคลื่นกระทบหินริมทะเล ตอนไปนี่เค้าห้ามลงไปเล่นน้ำด้วย มีลุงคนนึงมานั่งเฝ้าแล้วคอยตะโกนเรียกคนที่ลงไปในน้ำ สงสัยตรงนี้จะอันตราย
วันนี้จบลงแล้ว ขับรถเยอะมาก หลับสนิทแต่หัวค่ำจนวันถัดมาตื่นตั้งแต่ 6 โมง วันทำงานทำไมไม่ขยันแบบนี้บ้าง
Day 3 เที่ยวปราสาทโคจิก่อนมุ่งหน้าสู่เมืองชิมันโตะ
เช้านี้ตื่นมากินข้าวเช้ากันที่โรงแรม ทิ้งรถไว้ที่โรงแรมแล้วไปนั่งรถสาธารณะเที่ยวในเมืองกัน โรงแรมเราอยู่ใกล้สถานี JR Kochi Station ที่เป็นสถานีต้นทางของ Tosaden ด้วย
Tosaden เป็นรถรางเบาที่วิ่งอยู่บนถนนกับรถทั่วไปเลย รถรางบางคันมีอายุการใช้งานเกินร้อยปีแล้ว มีรถหน้าตาคลาสสิคย้อนยุคเยอะมาก ค่าขึ้นแพงพอสมควรที่ 230 เยนตลอดสาย นั่งใกล้นั่งไกลราคาเท่ากัน เท่าที่หาข้อมูลดูบริษัทที่ดำเนินงานก็ขาดทุนเพราะคนขึ้นน้อย หวังว่าเค้าจะอยู่ต่อไปได้นานๆนะ
อ้อแล้วก็จังหวัดโคจิเค้าโปรโมทการ์ตูนอันปังแมนมากๆเพราะว่าอาจารย์คนเขียน ทาคาชิ ยานาเสะ เกิดที่โคจินั่นเอง ไม่ว่าจะไปที่ไหนในโคจิเราก็จะได้เห็นตัวการ์ตูนอันปังแมนแอบอยู่ บนรถรางก็ไม่เว้น
ปราสาทโคจิ
ถ่ายรูปรถรางมาเยอะมากเพราะเค้าน่ารักจริงๆ เรานั่งรถรางมาลงที่สถานี Kochijo mae แล้วเดินมาที่ปราสาท เช้านี้เงียบมากเราแทบจะเป็นแค่สองคนในสวนนี้เลยนะ ปราสาทโคจิได้ชื่อว่าเป็นปราสาทเดียวในญี่ปุ่นที่สามารถมองเห็นประตูใหญ่หน้าทางเข้าพร้อมกับหอคอยของปราสาทได้ เอาเป็นว่าเค้าพยายามหามุมเพื่อจะมาเป็นหนึ่งเดียวในใต้หล้าให้ได้เลยนะ 555
การเข้าไปในสวนไม่ต้องจ่ายเงินนะครับ จ่ายเฉพาะคนที่ต้องการเข้าไปในตัวปราสาทด้านบน เพราะงั้นเราดูแค่ข้างนอกก็พอ เคยเข้าที่อื่นมาแล้วหลายๆที่ก็คล้ายๆกัน ชั้นบนสุดของเนินปราสาทมองลงมาเห็นเมืองโคจิได้รอบเลยด้วยนะ รู้สึกตกหลุมรักท้องฟ้าฤดูร้อนของญี่ปุ่นที่มีเมฆนุ่มฟูก้อนใหญ่ๆจัง
ถนนหน้าปราสาทฝั่งตะวันออกในวันอาทิตย์จะมีตลาดนัดขายของแปลกๆด้วย บรรยากาศเมืองนี้สบายๆน่ารักมาก แต่ความเป็นญี่ปุ่นคือไม่ว่าจะบ้านนอกแค่ไหนถนนหนทางเค้าก็สะอาดเอี่ยมตลอดจริงๆ ตรงนี้แหละที่อิจฉาคนญี่ปุ่น
Hirome Market
แล้วคนก็ยังชอบไปตลาด Hirome ด้วย เป็นตลาดที่ขายอาหารเยอะมาก แต่หลายๆร้านก็ขายของแบบเดียวกันที่เค้าทำใส่กล่องพลาสติกไว้อ่ะนะ ไปเอาบรรยากาศก็ได้อยู่ แต่ถ้าอยากกินอร่อยๆแนะนำให้กินร้านอาหารทั่วไปดีกว่า
Otonashi Shrine
ศาลเจ้าโอโตนาชิเป็นแค่ศาลเจ้าเล็กๆชานเมืองโทสะที่เป็นเมืองข้างๆโคจิ แต่ว่ามาถึงแล้วชอบมากเลย มีเสน่ห์ในความเรียบง่าย ยิ่งท้องฟ้าสวยๆแบบวันนี้มันตัดกับธงสีขาว ผมคิดว่าความสวยงามมันเกิดจากการที่เค้าเน้นใช้วัสดุจากธรรมชาติในหลายๆอย่างเช่นเสาธงทำจากไม้ไผ่ ศาลที่ใช้ไม้สน ดูแล้วมันกลมกลืนไปกับธรรมชาติดูเรียบง่าย แถมยังอยู่ระหว่างทางอีกด้วย
หน้าปากซอยเข้าศาลเจ้ายังมีแพร้านอาหารที่ไม่เคยเห็นที่ญี่ปุ่นเลย ร้านชื่อว่า Restaurant on the sea Ukihashi แหละมีเมนูหลักๆคือหอยย่าง หอยที่เอามาย่างให้กินบนโต๊ะยังไม่ตายเลย ตอนย่างมันก็ยังกระดุกกระดิกอยู่เลย สดมากอร่อยราคาไม่แรง นอกจากหอยเค้ามีเมนูอื่นด้วยนะ แต่ผมว่าอันนี้แหละเอกลักษณ์ เจ้าของร้านเป็นพ่อแม่ลูกน่ารัก ใจดีเห็นเราคนไทยมาเค้าก็งงว่ารู้จักเค้าได้ไง
Kainokawa Rice Terraces
พอกินอิ่มแล้วขับรถไปเที่ยวต่อเลย ที่เคยเล่าไปก่อนแล้วว่าเราไปตามหาที่ถ่ายรูปทุ่งนาขั้นบันไดแล้วเส้นทางมันกันดารเหลือเกิน แนะนำว่าให้ไปอันนี้แทนเลยครับเพราะขับรถเข้าไปใกล้ๆแล้วถนนไม่แคบเหมือนที่ไปมาก่อนหน้า แถมตรงนี้ picture perfect มากเหมือนเค้าทำมาให้ถ่ายรูปเลย ทุ่งนาช่วงนี้สีเขียวชะอุ่มมาก แต่ถ้ามาเดือนกันยายนก็จะได้ภาพทุ่งนาที่มีรวงข้าวสีทอง แต่ละช่วงก็จะได้วิวต่างกันออกไปเพราะแบบนั้นควรศึกษาให้ดีด้วยนะครับ
Shikoku Karst
การขับรถในชนบทญี่ปุ่นมันเพลินมากเพราะถนนเค้าตัดกันแบบเลอค่ามาก โค้งต่างๆเลี้ยวได้แบบนุ่มมากๆเพราะเค้าทำการเจาะภูเขาเพื่อคงความสมูธของโค้งต่างๆ การใช้งบประมาณอย่างมีประโยชน์ก็ช่วยให้เกิดเศรษฐกิจการท่องเที่ยวได้ดีนะครับ
ที่ต่อไปของเราอยู่บนเขาสูงที่ต้องขับรถขึ้นไป Shikoku Karst อยู่ที่ 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ความสูงของเขามันก็บล็อกเมฆและความชื้นไม่ให้ผ่านไปได้แถวนี้เลยอึมครึมเป็นส่วนใหญ่ ขาขับรถขึ้นถนนบนเขาเป็นสภาพนี้เลย

ตอนที่ขับรถขึ้นมามีเราอยู่คันเดียวเงียบเหงามาก แต่ไหงบนยอดเขาถึงมีคนโผล่มาเยอะแยะ ตอนนี้เราอยู่สูงกว่าเมฆแล้ว กังหันลมก็ถูกกลืนเข้าไปในเมฆด้วยในบางเวลา ตรงนี้มีร้านกาแฟชื่อดัง Karst Coffee แต่ตอนนี้ก็สี่โมงเย็นแล้ว กินกาแฟตอนนี้ลืมเรื่องนอนไปได้เลย
Day 4 นั่งเรือชื่นชมแม่น้ำชิมันโตะ ขับรถเที่ยวแหลมอาชิซูริ
วันก่อนหลังจากไป Shikoku Karst เราขับรถเพื่อไปที่เมืองชิมันโตะใช้เวลา 2 ชั่วโมงนิดๆ มาถึงก็เย็นๆแล้วเลยไม่ได้เดินดูเมืองเท่าไหร่เลย เช้านี้เลยเอาซะหน่อย
Ichijo Shrine
เมืองชิมันโตะเล็กมากๆ เล็กจนแปลกใจ แล้วในเมืองเงียบมาก แทบไม่มีคนเดินบนถนนเลย นี่อาจจะเป็นปัญหาของญี่ปุ่นที่ชนบทเริ่มไม่มีคนอยู่เพราะคนหนุ่มสาวพากันย้ายไปทำงานในเมืองใหญ่กันหมด ใกล้ๆโรงแรมเรามีศาลเจ้าเล็กๆอยู่ที่มองไปเห็นปราสาทนาคามูระประจำเมืองชิมันโตะด้วย ที่วัดมีที่แขวนป้ายขอพรแล้วป้ายเป็นรูปหมี Rilakkuma!
แม่น้ำชิมันโตะ
ครึ่งวันเช้าเราจะไปเที่ยวแม่น้ำชิมันโตะกัน แม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำสายสุดท้ายของญี่ปุ่นแล้วที่ไม่มีเขื่อนกั้นเลยตั้งแต่ต้นยันปลายน้ำ คงความเป็นธรรมชาติไว้เป็นแห่งสุดท้ายแล้ว
นอกจากนั้นตลอดสายน้ำมีสะพานที่ทนทานต่อน้ำท่วมน้ำหลากเพราะสะพานเค้าไม่มีรั้วกั้น เห็นแล้วก็น่ากลัวไม่น้อยเพราะถ้าขับไม่แข็งอาจจะเอารถไปอาบน้ำได้

ที่แม่น้ำชิมันโตะยังมีกิจกรรมหลายอย่างให้นักท่องเที่ยวได้ทำ บ้างก็ปั่นจักรยานตามแม่น้ำ ข้ามสะพาน บ้างก็พายเรือคายัค บ้างก็ลงไปเล่นน้ำ แต่ที่เราจะทำวันนี้คือไปนั่งเรือ Yakatabune ที่ล่องไปตามแม่น้ำ ตามสายน้ำมีท่าขึ้นเรือแบบนี้ 4 ที่ด้วยกันแล้วเราก็เลือกตรงที่ชอบได้เลย แต่จะรู้ได้ไงว่าชอบอันไหน คำตอบคือไม่รู้ครับ เลือกไปมั่วๆ ครั้งนี้เราเลือกขึ้นเรือที่ Nattoku ที่ห่างจากเมืองไปประมาณ 15 นาที
ค่าขึ้นเรืออยู่ที่ 2,000 เยนต่อผู้ใหญ่หนึ่งคน และ 1,000 เยนสำหรับเด็กอายุ 7 - 12 ขวบ ผมแนะนำว่าให้ไปซื้อบัตรทัวร์ที่ Shimanto Tourist Information Center เพราะคุณจะได้ส่วนลดค่าทัวร์ 10% เหลือ 1,800 หรือ 900 เยน
เค้ามีบริการข้าวกล่องเบนโตะด้วยแต่ว่าต้องจองล่วงหน้าสองสามวัน เรือจะพาเราชมวิวประมาณ 1 ชั่วโมงด้วยกัน เชิญดูภาพบรรยากาศตรงท่าเรือก่อนเลย
มาลงทะเบียนที่ออฟฟิศที่ท่าเรือ รอแป๊บเดียวเรือก็ออกแล้ว คนไม่เยอะเลย มีมาทั้งหมด 3 บ้าน เหมือนว่าถ้าคนมาเยอะเค้าจะเอาเรือใหญ่ออก ระหว่างทางเราก็ได้ชื่นชมน้ำใสๆข้างล่าง บางจุดไม่ลึกจะเห็นพื้นแม่น้ำด้านล่าง ภูเขาสองข้างเขียวไปด้วยต้นไม้ ฟ้าสวยเมฆลอยฟ่อง เอามือยื่นลงไปจุ่มน้ำเย็นๆ บางจุดมีคนเล่นน้ำอยู่สนุกสนาน
หลังจากเรือพาทวนน้ำขึ้นไปซักพักเราก็กลับลงใต้แล้วเรือก็พาเราวนใต้สะพานที่จมน้ำได้ สะพานนี้โดยเฉพาะชื่อว่า Takase Submersible Bridge ทั้งสายแม่น้ำมีสะพานแบบนี้อยู่ทั้งหมด 47 แห่ง เค้ามีชื่อญี่ปุ่นด้วยว่า Chinkabashi
ลงเรือมาแล้วเลยไปเที่ยวริมแม่น้ำต่ออีกหน่อยตรงจุดที่ลงไปในน้ำได้ที่ Misato Submersible Bridge มาตรงนี้เลยได้เดินลงไปในน้ำให้ขาจมลงไปถึงเขา น้ำเย็นสู้แดดมากๆ รูปที่ถ่ายขาดูผ่านๆเหมือนยืนบนบกเลยนะ
ก่อนเราออกจากเมืองชิมันโตะเราแวะกินข้าวกลางวันกันก่อนที่ร้านชื่อ こいちご飯 ใน Google Maps เป็นร้านข้าวหน้าปลาไหลที่มีความพิเศษคือเค้ามีปลาไหลที่จับจากธรรมชาติให้เป็นหนึ่งในตัวเลือกด้วย แน่นอนว่าราคาสูงกว่า ถ้าใครไม่อยากจ่ายก็สามารถสั่งแบบปลาไหลเลี้ยงได้ ไม่ได้ถ่ายข้าวมาเพราะมันหิวจนลืม แต่ได้ภาพหน้าร้านที่ดูแล้วนึกถึงอนิเมะกีฬาที่ซ้อมช่วงหน้าร้อน

Cape Ashizuri
ขับรถออกจากเมืองมาไม่นานเราก็เข้าสู่โซนแหลมอาชิซุริ แหลมนี้ปักหมุดหมายไว้ด้วยประภาคารสีขาวสูงเด่น และจุดนี้มีความสำคัญคือเป็นจุดใต้สุดของเกาะชิโกกุ ตอนที่เดินเข้ามาถึงจุดชมวิวแล้วห้ามใจไม่ไหวร้องโอ้โหเยอะมากจนคนญี่ปุ่นแถวๆนั้นมองเราแปลกๆ ทะเลและโขดหินข้างล่างสวยมากเลยทุกคน
เดินแถวๆนี้ก็มีหลงทางบ้าง แต่ก็ได้เดินฟังเสียงจั๊กจั่นสนั่นหวั่นไหว จากตรงนี้เราก็ลองหาดูว่าแถวนี้มีไรอีก เจอกับที่นี่เข้าแล้วดูน่าสนใจ 松尾漁港 海老洞 เสิชใน Google Maps จะเจอที่นี่ แต่ใครจะรู้ว่าถนนที่ไปตรงนี้แคบนรก จนต้องปิดกระจกข้าง ใครขับรถไม่แข็งแนะนำไม่ต้องไปก็ได้นะครับ
เดินเข้ามากจากที่จอดรถนิดเดียวก็เจอถ้ำนี้ แล้วเค้าก็มีแค่นี้จริงๆนะ 555

แถวนี้มีปูตัวเล็กๆสีส้มเดินยั๊วเยี๊ยะมาก เห็นแล้วไม่รู้จะน่ารักหรือขนลุกดี

Tatsukushi Coast
หลังจากนี้เราจะเข้าสู่ถนนสาย Sunny Road และที่แรกที่เราหยุดเที่ยวคือ Tatsukushi Coast ที่เป็นโขดหินริมหาดรูปทรงประหลาด บางที่ดูแล้วเหมือนเป็นกระดูกสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ด้วยความที่เป็นหินยาวๆบางจุดมีรอยแยกเป็นข้อๆเหมือนกระดูกตรงนิ้ว อันนี้ก็ช่างจินตนาการเกิน มองออกไปเรายังเห็นอาคารหน้าตาประหลาดๆอีกด้วย
ห่างออกไปไม่ไกลเราแวะอีกที่ที่ Ashizuri Underwater Aquarium อันนี้ตื่นเต้นมากสำหรับเด็กที่โตมากับหนังยอดมนุษย์สมัยโชวะญี่ปุ่นอย่างอุลตร้าแมนหรือจัมโบ้เอ ตึกสีแดงขาวตรงนี้มันให้อารมณ์แบบนั้นเหลือเกิน
อควาเรี่ยมแห่งนี้เปิดทำการตั้งแต่ปี 1972 แต่ดูตอนนี้ก็ยังเท่และ timeless อยู่ และอีกความสนุกคือที่ดูปลาคือการเอาตู้นี้จุ่มไปในทะเลลึก 7 เมตร จากเคยดูปลาในตู้กลายเป็นปลาดูคนในตู้แทน ทีนี้ผมก็งงว่าเค้าทำไงให้ปลามันมาว่ายวนเวียนแถวหน้าต่างอควาเรี่ยม แต่ก็มองไปเห็นตะกร้าที่เค้าหย่อนลงไปพร้อมอาหารปลาล่อให้น้องๆมาว่ายโฉบแถวหน้าต่าง
ตลอดถนน Sunny Road เต็มไปด้วยวิวสวยๆของโขดหินในมหาสมุทรแปซิฟิก ถ้ามองเห็นแล้วจอดทันเราก็จะได้รูปมาบ้าง จากตรงนี้ก็ใกล้ถึงที่พักแล้วเราเลยเที่ยวเล่นได้สบายๆ
樫西海水浴場 - Kashinishi Beach
ที่ตรงนี้แม้จะอยู่ตามข้างทาง Sunny Road แต่ผมอยากเน้นเพราะว่าสวยเป็นพิเศษเลย แล้วยิ่งเป็นตอนแสงรำไรก่อนพระอาทิตย์ตก โขดหินกลางน้ำเหล่านี้ดูนุ่มนวล มินิมอล มองดูแล้วสงบจิตสงบใจ
และระหว่างขับรถกลับที่พักที่ Manabe Inn หันไปเห็นวิวนี้ข้างทางพอดี เลยรีบเลี้ยวเข้าซอยเงียบๆ จอดรถแล้วได้ภาพนี้มาด้วย

ที่พัก Manabe Inn ในเมือง Sukumo เป็นอะไรที่ผมแนะนำมากเพราะว่าที่พักก็สะดวกดี และที่สำคัญคืออาหารเย็นที่เค้าบริการอร่อยม๊ากกก ผมยกให้เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในสิบวันเลยนะ มากกว่านั้นคือราคาต่อคน 2,500 เยนหรือประมาณ 500 บาทนิดๆต่อคน ดูปริมาณอาหารแล้วงงว่าเค้าได้กำไรด้วยหรอ

Day 5 เกาะ Kashiwajima
เช้าสุดท้ายของเราในจังหวัดโคจิก่อนจะขับรถเข้าสู่จังหวัด Ehime อย่างเป็นทางการ แต่เช้านี้ก็ยังพิเศษเหมือนเดิมเพราะเราจะไปเที่ยวเกาะคาชิวะจิมะ ถึงจะบอกว่าเกาะแต่ก็ขับรถข้ามไปได้
Odo Observatory
ก่อนจะไปถึงเกาะเราแวะดูวิวมุมสูงกันก่อนที่ Odo Observatory เช้าที่ไปหมอกลงมากแล้วที่ตรงนี้ก็วังเวงเหลือเกิน ปกติไม่กลัวผีแต่วันนี้กลัวนิดหน่อย แถวนี้ดูเหมือนไม่ได้รับการดูแลเท่าไหร่เลยค่อนข้างรกร้าง
Kannon Rock
ขับรถต่อไปในทิศทางของเกาะ Kashiwajima แต่เรายังไปที่เกาะไม่ได้จนกว่จะได้หยุดที่จุดชมวิว Kannon Rock แล้วพากันไปลำบากเดินข้ามเขาซักสองลูก ที่จอดที่ใกล้ที่สุดคือ Kannoniwa Parking Lot พอจอดแล้วจะเห็นบันไดอยู่ในพุ่มไม้ก็เดินตามทางไปได้เลย เดินไปนิดเดียวจะเจอทางแยกผมเลยเลือกจะไปซ้ายก่อน
เดินต่อไปทางเดิมอีกประมาณนึง ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีได้แต่ต้องเดินขึ้นเยอะพอสมควร ไปถึงที่ お万の滝 หรือ น้ำตกนางโอมัน แต่ตรงนี้ไม่มีน้ำตกแต่อย่างใด มีแต่หน้าผาสูงสีขาวตัดกับสีเขียวของต้นไม้ด้านบน ระหว่างเดินอยู่ได้พบกับนกเหยี่ยวสองสามตัวด้วย
Kashiwajima Beach
โอ้เอ้อยู่นาน ในที่สุดก็มาถึงเกาะแล้ว พอจอดรถแล้วต้องเดินย้อนกลับมาที่หาด Kashiwajima Beach น้ำสีสวยและใสปิ๊ง นอกจากนั้นน้ำเย็นเจี๊ยบสู้แดดมาก นั่งพักใต้สะพานรับลมดับร้อนได้ดีมาก
สะพานที่อยู่บนหัวจะพาเราข้ามไปตรงหมู่บ้านประมงที่น้ำลึกกว่าที่หาด
ที่อ่าวนี้มีมักจะมีปลาโลมาว่ายน้ำเล่น แล้วเราเจอน้องสองตัวดำมุดดำว่ายอยู่ ยืนรอกลางแดดอยู่นานมากหวังว่าน้องอาจจะกระโดดขึ้นมาจากน้ำ แต่รอจนหนังศีรษะไหม้น้องก็ไม่กระโดด
ทริปโคจิของเราได้มาถึงจุดสุดท้ายแล้ว แต่ว่าโร้ดทริปรอบชิโกกุของเรายังไม่จบเพราะภาคหน้าเราจะเดินทางเข้าสู่จังหวัดเอฮิเมะ และคางาวะที่อุดมไปด้วยความน่ารัก ความเก่าแก่และความสนุก ฝากติดตามด้วยนะครับ
ฝากผู้มีจิตเป็นกุศลติดตามกดไลค์เพจของผมด้วยนะครับ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับผม






















































































































































































































































































































































































ความคิดเห็น