เดือนที่เดินทาง - 1 - 4 เมษายน 2019
ฟูจิ ฟูจิ ฟูจิ ถ้าใครไม่เคยไปอาจจะไม่เข้าใจความรู้สึกพ่ายแพ้ต่อโชคชะตาเวลาที่ถ่อไปถึงที่แล้วอากาศไม่เป็นใจ เมื่อ 3 ปีก่อนผมได้มีโอกาสมาค้างคืนที่แถวทะเลสาบคาวากุจิแล้วครั้งหนึ่งและหวังที่จะได้มาเห็นภูเขาไฟที่โด่งดังไปทั่วโลก แต่ไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันจะมีเหตุการณ์แบบภูเขาอยู่ตรงหน้าแต่กลับมองไม่เห็นแม้แต่เงา ได้แต่นั่งงงไปว่าเรามาถูกที่รึเปล่า
ผ่านไป 3 ปีความพ่ายแพ้ยังไม่หายไป จึงทำให้การเดินทางไปญี่ปุ่น 14 วันครั้งนี้ เราได้แยกออกมาให้เป็นพิเศษสำหรับฟูจิเลย 3 วันครึ่ง "คือมันต้องเห็นซักวัน ไม่มีใครจะซวยได้ขนาดนั้นใช่มั้ยทุกคน" เป็นคำพูดปลอบใจที่เราพูดให้กันและกัน
ตอนนี้เป็นตอนต่อจากตอนที่แล้วที่เราเดินทางรอบคันไซ และถ้ายังไม่ได้อ่านตรงนั้นกลับไปอ่านก่อนได้เลยตามลิงค์นี้ https://www.nopeopletravelphoto.com/post/kansai_april2019
การเดินทาง
จะนับว่าเป็น road trip ก็ได้โดยมีจุดเริ่มต้นที่เมืองนาโกย่าเวลาประมาณก่อนเที่ยงเล็กน้อย การขับรถออกจะงงๆเล็กน้อยตอนอยู่ในเมืองแต่พอได้ขึ้นทางด่วนแล้ว ทุกอย่างมันง่ายมากไม่มีอะไรให้กังวล ทางด่วนของที่นี่เค้าเจาะอุโมงค์ผ่านภูเขาเป็นทางยาวไปตลอดทำให้ไม่มีถนนที่เป็นโค้งหักศอกให้ต้องมา Initial D กันแม้แต่นิดเดียว
ที่พักของเราอยู่ในเขต ฟูจิโยชิดะ (Fujiyoshida) ซึ่งเราสามารถเลือกให้เส้นทางผ่านไปตามจุด hot spot ของการถ่ายภาพฟูจิในชิซุโอกะ (Shizuoka) ไม่รอช้าขับไปที่แรกก่อนเลยซึ่งเป็นจุดที่เห็นสะพานที่รถไฟชินคันเซ็นวิ่งและฟูจิเป็นฉากหลัง ทำลายความมั่นใจไปเล็กน้อยเพราะภาพที่เห็นคือมีแต่โคนภูเขาไฟและเมฆบังยอดไว้หมด
เห็นแบบนี้แล้วทุกคนก็พากันจิตตก และเปลี่ยนใจไม่ไปต่อกับที่เหลือที่วางแผนไว้และยกยอดไปเป็นวันสุดท้ายแทน ขับรถต่อไปเพื่อเข้าที่พักด้วยความหวัง แต่ใครจะรู้ว่าธรรมชาติยังมีมุขตลกขำไม่ออกเตรียมไว้ให้อีก
ขับรถไปจนช่วงที่ถนนเริ่มเป็นทางขึ้นเขาได้ไม่เท่าไหร่ ฟ้าที่ดูครึ้มๆมาตั้งแต่ก่อนหน้าก็เริ่มตกลงมาเป็นหิมะ ไม่ใช่แค่ขับรถต่างประเทศครั้งแรกอย่างเดียว งานนี้ขับรถในหิมะครั้งแรกด้วยเหมือนกัน ด้วยความตื่นเต้นไม่เคยเห็นหิมะตก หันไปหาเพื่อน "ช่วยเปิด Google หาร้านขายเสื้อกันหนาวหน่อย"
วันแรกกับฟูจิ
คืนก่อนหน้าหลังจากขับลุยพายุหิมะไปซื้อข้าวกับขนมในซุปเปอร์มาแล้ว พอถึงที่พักก็รีบอาบน้ำที่โคตรเย็นและเข้านอนกันหวังว่าวันรุ่งขึ้นฟ้าจะสดใจ เช้ามาผมตั้งปลุกตั้งแต่เช้าและอาสาฝ่าความหนาวออกไปดูหน้าบ้านว่าอากาศเป็นยังไงบ้าง สิ่งที่เห็นถึงกับทำให้ต้องแตกตื่นวิ่งหน้าตั้ง
ฟูจิออกมาสวัสดีตอนเช้าขนาดนี้ รีบวิ่งไปปลุกคนอื่นๆให้รีบใส่เสื้อผ้าออกไปถ่ายรูป เสร็จแล้วผมก็วิ่งลงไปติดเครื่องรถรอก่อนเลย หน้ากระจกรถมีน้ำแข็งเกาะเล็กน้อยแสดงถึงความหนาว ทุกคนมาครบแล้วก็รีบขับไปเลยที่แรก
เจดีย์ชูเรโตะ (Chureito Pagoda) เป็นสถานที่ยอดนิยมที่เป็นวิวฟูจิคู่กับเจดีย์ที่อยู่บนเนินเขา ขับรถไปจากที่พักประมาณ 15 นาที ที่จอดก็ขึ้นเขาไปหน่อยๆแล้วแต่ก็ยังมีขึ้นบันไดอีกมากมายให้ปีนกัน ด้วยความกลัวว่าแสงสวยๆตอนเช้าจะหายไปก่อนก็เลยรีบเดินอย่างเร็ว พอไปถึงด้านบนสุดแล้วนั้น เกือบเป็นลมกันทีเดียว ต้องถอดเสื้อที่ใส่มา 3 ชั้นออกเพราะกลัวหนาวแต่ตอนนี้ทำให้หายใจไม่สะดวก ต้องนอนพักอยู่ตรงจุดชมวิวประมาณ 5 นาทีเขินจัง
วิวที่เห็นนั้นก็ไม่ต้องห่วงว่าสวยงาม แถมยังมีหิมะที่ตกเมื่อคืนช่วยสร้างบรรยากาศความหนาวให้เห็นได้จากรูปภาพ
วัดนี้มีพื้นที่อยู่บนทางลาดภูเขาที่เราสามารถเดินขึ้นลงได้ พอหายหน้ามืดแล้วเดินดูรอบๆนิดหน่อย ไม่คิดเลยว่าภูเขาไฟฟูจิของจริงนี่จะใหญ่โตอลังการขนาดนี้ จะให้ถ่ายรูปยังไงก็ไม่สามารถบรรยายความยิ่งใหญ่นี้ได้เลย
ถ่ายรูปกันมาซักพักก็ถึงเวลาต้องเดินลง บันไดที่ปีนขึ้นมาตอนขาลงก็ได้เห็นแล้วว่ามันสูงแค่ไหน ไม่แปลกเลยที่จะหน้ามืดเป็นลม เดินลงก็จับราวแน่นเพราะถ้าตกไปกล้องต้องพังแน่ๆ
ขาลงมาก่อนเข้าลานจอดรถก็หันไปเห็นว่ามีเสาสีแดงส้มที่มองลอดออกไปเห็นภูเขาพอดี เหมือนตื่นเต้นมากเห็นตรงไหนก็จะถ่ายรูป 555
นั่งพักหายใจในรถพร้อมปรึกษากันจนได้ข้อสรุปว่าเราจะโฟกัสการถ่ายรูปที่ตอนเช้ากับเย็นเพื่อให้ได้แสงที่ดีที่สุดแล้วประหยัดแรงในช่วงกลางวันที่แสงแดดแรงๆทำให้ภาพไม่น่าดู เช้านี้เลยไปต่ออีกนิดเพื่อสำรวจสถานที่สำหรับเย็นนี้ที่ทะเลสาบคาวากุจิ (Lake Kawaguchi) ที่นี่เองที่มาทำพลาดไว้ครั้งก่อน
ครั้งนี้ไม่พลาดเหมือนเคยเพราะฟ้าเปิดเบอร์นี้ ถ่ายจากกรุงเทพก็อาจจะเห็น
หน้าสถานี Kawaguchiko
ด้านบนสะพาน Kawaguchiko Ohashi
ช่างเป็นภาพที่แตกต่างเมื่อครั้งก่อนผมกับเพื่อนๆต้องมาเล่นเดากันว่าทิศไหนกันนะที่เป็นภูเขาฟูจิ ดีใจมากๆที่ได้มาเจอ พอวนรถกันรอบทะเลสาบก็ได้จุดที่พอใจสำหรับเย็นนี้ ไม่รอช้าขับรถกลับที่พักไปนอนต่อจ้า
เย็นวันเดียวกันทั้งเราและฟูจิมาตามนัด รูปแรกเป็นภาพที่ถ่ายตอนที่พระอาทิตย์ลับหลังเขาไปนิดเดียวซึ่งเป็นช่วงที่แสงพระอาทิตย์ยังส่องมาสะท้อนกับยอดเขาให้เห็นเป็นสีส้มอ่อนๆอยู่ บอกเลยว่าเห็นแล้วมันซึ้ง
ส่วนรูปนี้เป็นรูปที่ได้มาเพราะเวลาเหลือจากรูปแรกเลยเดินหาฉากหน้าใหม่ให้น่าสนใจ 2 รูปนี้ถ่ายห่างกันแค่ไม่ถึงร้อยเมตรแต่ดูแล้วให้คนละความรู้สึกเพียงแค่เดินหานิดเดียว สังเกตว่าสีส้มบนยอดเขาหายไปแล้วแต่ก็ยังมีสีของท้องฟ้าในช่วง blue hour อยู่
ถ่ายรูปกันอิ่มแล้วและร่างกายทนลมหนาวปะทะร่างไม่ได้อีกต่อไป เราพากันไปฝากท้องที่ 7-11 ซึ่งเป็นแบบนี้ไปทุกวันเพราะตอนเย็นมัวแต่ห่วงถ่ายรูปร้านข้าวแทบไม่เหลือ อีกอย่าง 7-11 ขนมหวานเยอะดีและราคาไม่แพงด้วย
วันที่ 2 กับฟูจิ
วันนี้ก็เช่นกันที่เราตื่นแต่เช้ามาเช็คว่ายอดเขาโผล่มามั้ยแล้วก็วิ่งไปแต่งตัวออกไปถ่ายรูป เช้านี้แผนของเราก็คือทะเลสาบยามานากะ (Lake Yamanaka) อีกหนึ่งใน 5 ทะเลสาบรอบฟูจิ แต่สาเหตุที่ต้องไปที่นี่เพราะว่าเค้ามีหงส์ว่ายน้ำเล่นกันที่คนชอบไปถ่ายมาคู่กับภูเขาไฟนั่นเอง
ขับรถไม่นานก็มาถึง ทะเลสาบนี้ดูขนาดใหญ่พอสมควรและเราขับไปจนสุดทางก็ยังไม่เจอหงส์ซักตัวแต่ด้วยพระอาทิตย์ที่เริ่มขึ้นมาแล้วเลยตัดสินใจจอดแถวๆที่ตั้งแคมป์ถ่ายรูปกันก่อน เช้านี้หนาวมากแบบรองเท้าถุงเท้าเอาไม่อยู่
มองหาหงส์กันต่อไป ขับรถออกไปหาตามริมทะเลสาบแบบงงๆ จนสุดท้ายก็เจอกับ 1 ฝูงที่มาออกันเพียบเพราะมีคนเอาอาหารมาล่อ อ่ออ เค้าทำกันแบบนี้ ทีมเราก็ไม่ต้องทำอะไรเพราะคนอื่นเค้าล่อมาแล้ว จอดรถแล้วเดินไปขอแจมได้เลย เช้านี้ลมยังสงบทำให้ผิวน้ำไม่มีคลื่นแรงเกินไปทำให้เห็นเงาสะท้อนน้ำของภูเขาค่อนข้างชัด ว่าแต่ลมไม่แรงทำไมมันหนาวกว่าเมื่อวานที่ลมแรงๆอีกเนี่ย
มีทั้งอิริยาบถแบบว่ายน้ำมาตัวเดียว มากันเป็นแถว หรือจะยืนหล่อๆ
ตรงริมตลิ่งก็มีทั้งหงส์ทั้งเป็ดมาหาข้าวกินกันมากมาย ทำไมดูรูปคนอื่นเค้าดูมีหงส์สองสามตัว พอมาเห็นของจริงนี่มาเหมือนทัวร์ลง ส่วนการจับภาพหงส์นั้นมันยากกว่าที่คิด จะให้ได้ภาพหงส์กำลังกระพือปีกดูสง่างามนั้นต้องรอจังหวะกันแบบใจเย็นห้ามโลเล ทั้งเช้านี้ผมก็ได้มาแค่รูปเดียวที่มีกระพือปีกแบบนี้เพราะว่าตัวนั้นตัวนี้ทำท่าจะยกปีกพอหันไปไม่ทำอะไรซะงั้น ไอตัวที่เล็งไว้ก่อนพอหันไปทางอื่นก็ลุกขึ้นมากระพือโชว์เหมือนแกล้งกัน
รอกันอยู่นานจนทนหนาวไม่ไหวเท้าเจ็บไปหมด เสื้อผ้าที่ซื้อมาเพิ่มจาก Uniqlo แถวนี้ก็ไม่พอเพราะเค้าเริ่มขายเสื้อผ้าหน้าร้อนกันแล้วเลยได้แต่เสื้อบางๆมา ทำไมรีบเปลี่ยนขนาดนั้น
ตามแผนเดิมคือตอนเช้าเราอยู่กันจนแสงเริ่มไม่สวยแล้วกลับไปนอน พอบ่ายๆเราก็ออกมาอีกและเย็นนี้มีไปกันสองที่เลยเพราะว่าที่แรกคือทะเลสาบโชจิ (Lake Shoji) นั้นวิวไม่ค่อยเทพและฉากหน้าไม่ค่อยน่าสนใจแต่ได้ความสวยงามที่เมฆติดยอดเขา
เราเลยย้ายกันไปที่ทะเลสาบโมโตสุ (Lake Motosu) ที่อยู่ไม่ห่างกันมาก ขับเข้ามาตรงถนนรอบทะเลสาบไม่นานก็พบกับจุดชมวิวที่ผ่านแล้วยังไงก็ต้องรู้ว่าจุดชมวิว ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีด้วยพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า ไม่รอช้าเราก็ตั้งกล้องและเริ่มเก็บภาพตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้าไปจนกลายเป็น blue hour กลับมาบ้านเลือกรูปดูก็เห็นว่าใบนี้น่ะชอบที่สุดแล้ว
คิดว่าเป็นภาพที่ดูแล้วรู้สึกสงบ ไม่ต้องมีสีสันมากเกินไปแต่เน้นไปทางโทนเย็นๆ รายละเอียดบนผิวน้ำถูกลบหายไปด้วยชัตเตอร์สปีดที่นานกว่า 6 นาที ทำให้ทุกอย่างดูสงบนิ่ง มีความสุขที่สุดเลยที่ได้เห็นรูปนี้ ลืมความหนาวเหน็บไปได้ทันที
วันที่ 3 ของฟูจิ
วันสุดท้ายแล้วที่เราจะได้เห็นฟูจิและบอกเลยว่าเห็นมาแล้ว 3 วันเต็มๆก็ยังไม่อยากจะจากไปนัก แต่ลางานได้แค่นี้เลยต้องจำใจแต่โดยดี
วันนี้เริ่มกันง่ายๆโดยการตื่นแต่เช้าเหมือนเดิมแต่ว่าแสงสวยกว่าเดิมแน่นอนเพราะแค่เดินไปที่ลำธารแถวที่พักเท่านั้นและไม่ต้องเสียเวลาขับรถที่กว่าจะถึงแสงก็เริ่มกระด้างไปแล้ว
ได้ภาพมาแล้วก็ถึงเวลาต้องเอาของออกมาใส่รถ ป้าเจ้าของบ้านที่เช่านอนก็ออกมาส่ง พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ป้าคงเข้าใจว่าเรามาตามถ่ายรูปกัน ป้าก็เปิดมือถือปล่อยของให้ดู เป็นรูปที่ป้าถ่ายตรงลานตากผ้าหน้าบ้านเห็นเมฆจานบินอยู่บนยอดเขา คารวะท่านอาจารย์ ชีวิตนี้หวังว่าจะได้เห็นกับตาตัวเองซักวัน
ออกมาจากฟูจิโยชิดะแล้วจุดหมายของเราคือกลับไปแก้ไขจุดต่างๆที่ชิซุโอกะที่เราพลาดในวันแรก ดูสภาพอากาศแล้วความมั่นใจเต็มร้อย ระหว่างทางก็ผ่านป้ายที่เขียนว่า Shiraito Falls (น้ำตกชิไรโตะ) ที่คุ้นๆว่าเคยเห็นตอนวางแผนแต่ไม่รวมไว้ ในฐานะคนขับเราก็ขับเข้าไปโดยไม่รอความเห็นท่านอื่นๆ
น้ำตกนี้เป็นน้ำที่เกิดจากหิมะบนฟูจิละลายและกลายเป็นลำธารลงมาตามเขา น้ำทั้งใสและเย็นทำให้รู้สึกสดชื่นจริงๆ เค้าว่าน้ำนี่สะอาดดื่มได้แต่ผมก็ไม่อยากวิ่งหาห้องน้ำ แค่เอามือกวักๆก็ได้อารมณ์แล้ว
เดินตรงต่อเข้าไปตามทางก็จะมีจุดให้มองดูน้ำตกจากมุมสูงอีกด้วยและที่สำคัญ มองออกไปพ้นยอดไม้ก็คือภูเขาไฟฟูจิอีกแล้ว ตามมาบอกว่าแถวนี้ถิ่นเค้า อยากให้จินตนาการว่าถ้าตรงนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง สีสันมันจะสะใจแค่ไหน
ที่ผมพูดไม่ได้ตลกว่าฟูจิเค้าโผล่มาทุกที่จริงๆ เดินออกมาเอารถก็เห็นว่ามาอีกแล้ว ถ่ายเก็บไว้ไม่เสียหาย
สถานที่ต่อไปก็คือ Mt. Fuji World Heritage Centre เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเรื่องราวที่มาที่ไปของฟูจิตั้งแต่สมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ให้ผู้สนใจได้ศึกษากัน จะมีใครรู้ว่าฟูจิลูกนี้เกิดขึ้นมาใหม่จากลูกเก่าใหญ่กว่าที่ระเบิดจนพังถล่มไป ตึกอาคารเค้าก็ออกแบบมาไม่ธรรมดาคือเป็นทรงภูเขาคว่ำลง
ส่วนชั้นบนสุดของที่นี่ก็ยังมีระเบียงให้ออกไปส่องดูภูเขาอีกด้วย สร้างให้กรอบนี้พุ่งตรงไปที่ภูเขากึ่งกลางพอดิบพอดีเหมือนกับมองจอทีวีจอยักษ์อยู่ก็ว่าได้
เดินจบจากด้านในแล้วกินข้าวร้านป้าตรงข้ามพิพิธภัณฑ์แล้วอร่อยด้วย ใครผ่านไปให้กินร้านที่เค้าขายข้าวหน้าปลาดิบนะครับ ตอนนั้นมีเมนูฤดูใบไม้ผลิ หน้าตาธรรมดาแต่ว่าอร่อยแบบไม่คาดฝัน
เดินจากพิพิธภัณฑ์นี้ไปอีกไม่ไกลก็จะเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่อยู่กับเมืองนี้มานานชื่อว่า Fujisan Hongu Sengen Taisha ชื่อยาวแบบนี้อยู่มานานแน่นอน ศาลเจ้านี้เป็นจุดเริ่มต้นของผู้แสวงบุญเดินขึ้นฟูจิไว้สำหรับกราบไหว้เอาฤกษ์เอาชัยให้เจ้าป่าเจ้าเขาคุ้มครอง
พื้นที่นี้เนื่องจากอยู่ต่ำกว่าโซนทะเลสาปรอบฟูจิทำให้อากาศอุ่นกว่าและดอกไม้ก็บานกันเต็มที่แล้วด้วย สวยมากๆเลยเวลาที่สีของดอกไม้ตัดกับท้องฟ้าสีเข้ม แล้วยังมีฟูจิเป็นฉากหลัง เพอร์เฟค!
ผมเองมีอาการที่ว่าเห็นน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่ใสๆแล้ว อดใจไม่ได้ที่จะต้องเอามือไปจุ่มๆดู น้ำจากแม่น้ำตรงนี้ดูใสสะอาดมากเหมือนมันช่วยชำระล้างจิตใจ
เดินเข้าไปอีกหน่อยก็จะเป็นส่วนที่เป็นศาลเจ้าที่มีคนมากราบไหว้ไม่ขาดสาย ตัวอาคารสีส้มตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าเข้มทำให้ดูสวยดี แถมด้วยต้นซากุระที่บานกันเต็มที่มาช่วยเป็นสีตรงกลางช่วยเชื่อมต่อสีทั้งสองอีกที
เดินๆนั่งๆ แวะดูหาซื้อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ติดตัวกันเรียบร้อยก็บ่ายๆแล้ว ซึ่งใกล้เวลาแสงแดดเริ่มอ่อนๆลงเหมาะกับการไปถ่ายรูป ขับรถออกไปต่อเลยที่จุดถัดไปเพื่อที่จะถ่ายภาพฟูจิอีกแล้ว มาถึงตรงนี้เริ่มมีคนบ่นว่าพวกเอ็งจะถ่ายรูปอีภูเขาลูกนี้กันอีกกี่วัน 555
ที่ตรงนี้ทำการค้นคว้ามาก่อนแล้วจึงได้เจอ ไม่ใช่ว่าขับรถไปแล้วโชคดีผ่านแต่อย่างใด ของดีๆก็ต้องบอกต่อ ใครสนใจกดลิงค์นี้เพื่อดูโลเคชั่นได้เลยครับ
จอดรถแล้วก็เห็นเลยว่ายิ่งใหญ่ เป็นสวนยาวติดริมแม่น้ำที่มีต้นซากุระปลูกเรียงเป็นแนวยาวมากๆ
เดินๆผ่านแนวต้นไม้มาก็จะปรากฏเป็นสะพานข้ามแม่น้ำให้เดินออกไปเห็นด้านนอกที่เป็นวิวของฟูจิบรรจบกับแนวต้นซากุระพอดีพร้อมทั้งมีแม่น้ำด้านล่างเป็นเส้นนำไปที่ภูเขา ลุงๆข้างล่างก็เกาะกลุ่มกันถ่ายรูปอย่างเอาเป็นเอาตาย หลายคนลงทุนพารองเท้าบู้ทมาลุยลงน้ำไปด้วยเลย ตอนแรกก็ว่าลุงๆเค้าลงไปทำลายภาพคนอื่นหมด แต่มองไปหลายๆทีก็ทำให้เห็นอารมณ์ความล้ำค่าของสถานที่ตรงนี้
ไปต่อเลยเพราะว่าแสงสุดท้ายของวันใกล้เข้ามาแล้วและสถานที่ที่เก็บไว้ที่สุดท้ายต้องใช้แสงค่อนข้างมากเพราะว่าเค้ามาพร้อมรถไฟชินคันเซ็นที่วิ่งอยู่
ตรงนี้เองที่เราเล็งว่าจะไปกันในวันแรกแต่ต้องย้ายมาวันสุดท้ายเพราะฟ้าเน่า สวยแค่ไหนขนาดต้องยอมขับรถวนกลับมา สวยขนาดนี้แหละ สองสัญลักษณ์ที่พูดถึงก็ต้องรู้ว่าเป็นประเทศญี่ปุ่น
หมดแล้วฟูจิกับ 3 วันเต็มๆ เรียกได้ว่าเต็มอิ่มกันไปเลย แต่ถามว่าจะกลับมาอีกมั้ย ตอบง่ายๆว่ากลับแน่นอน โบกมือลาตรงนี้แต่ระหว่างขับรถไปโตเกียวก็ยังเห็นจากกระจกมองหลังตลอดเวลา ตามมาส่งกันจนชั่วโมงสุดท้ายจริงๆ
ตอนหน้าตอนสุดท้ายแล้วสำหรับการเดินทางครั้งนี้ในญี่ปุ่น เดินเล่นๆดูต้นไม้ดอกไม้ในเมืองใหญ่ ถ้าชอบใจโพสนี้ติดตามต่อครั้งหน้าเด้อ
Yorumlar