เดือนที่เดินทาง - ตุลาคม 2023
The Land of Fire and Ice สมญานามนี้ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเล่นๆ Iceland เป็นสถานที่ที่ยากจะบรรยายถึงความมหัศจรรย์ถ้าคนฟังไม่ได้ไปเห็นด้วยตัวเอง วันนี้ก็เลยจะขอพยายามบรรยายบรรยากาศการไปเที่ยวไอซ์แลนด์ให้ฟังละกันนะครับ 555 ทริปนี้คณะเราใหญ่มากกว่าปกติคือมีถึง 5 คน แล้วแต่ละคนก็ช่วยกันอยากเที่ยว เดินไม่ไหวก็ถูลู่ถูกังไปกันจนได้
สำหรับคนชอบถ่ายภาพแลนด์สเคปภาพวิวธรรมชาติแล้ว Iceland คงเป็นอะไรที่อยากไปเห็นซักครั้ง แต่จะมีกี่คนที่รู้ว่าการไปเที่ยวไอซ์แลนด์นั้นเต็มไปด้วยสิ่งไม่คาดฝันโดยเฉพาะการไปเที่ยวช่วงฤดูเปลี่ยนผ่านอย่างฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูใบไม้ผลิ เพราะแบบนั้นเลยเอามาแนะนำว่าควรเตรียมตัวแบบไหนบ้าง
สภาพอากาศ - เดือนตุลาคมที่ไอซ์แลนด์จะเป็นเดือนสุดท้ายของฤดูใบไม้ร่วงก่อนจะเข้าหน้าหนาว เพราะแบบนี้อากาศหนาวเอาเรื่องเลย บางที่มีลงไปถึง -5 องศาเซลเซียสตอนเช้าตรู่
การเดินทาง - จะใช้ขับรถตลอดทางครับ ถนนโล่งเป็นส่วนใหญ่จะมีรถเยอะหน่อยก็ในเมือง Reykjavik แต่รถน้อยกว่าอยู่บ้านเราแยะ สิ่งที่ควรรู้คือบริษัทเช่ารถจะมีการส่งอีเมลมาเตือนล่วงหน้าถ้ามีพยากรณ์ว่าจะมีพายุเข้า ซึ่งเวลาพายุเข้านี่ขับรถจะแกว่งมากจากลมที่พัดรถแทบปลิว การขับก็ไม่มีอะไรมากต้องมีสติและไม่ขับเร็วเกินไป
ประเภทรถ - ไอซ์แลนด์จะมีถนนบางส่วนโดยเฉพาะส่วนที่อยู่บนเขาสูงที่เค้าเรียกว่า F Road ซึ่งถนนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นทางลูกรังค่อนข้างแย่ ถนนนี้เค้าจะให้รถ 4x4 เข้าไปได้อย่างเดียว เพราะฉะนั้นการวางแผนเที่ยวควรดูให้ดีด้วยนะครับว่ารถที่ใช้เข้าไปได้หรือไม่
ที่พัก - ที่พักที่ไอซ์แลนด์ส่วนใหญ่เป็น guesthouse แบบที่ต้องแชร์ห้องน้ำห้องครัวกับคนอื่น หรือจะเป็นแบบ Hostel ที่นอนรวมกับคนอื่น ห้องครัวก็แล้วแต่ที่ที่ไปแต่ส่วนใหญ่สามารถทำอาหารเบาๆได้ไม่มีปัญหา
ที่จอดรถ - ถ้าเป็นนอกเมืองจอดฟรีแทบทั้งหมด มีที่เที่ยวบางที่ที่ฮอทมากๆจะมีการเก็บค่าจอด แต่ถ้าขับในเมืองต้องจ่ายค่าจอดทุกสถานที่ครับ จะลงรายละเอียดการจอดรถในเมืองเพิ่มเติมในภายหลังครับ แนะนำโหลดแอพ Parka เตรียมไว้ก่อนเลย
อาหาร - จุดพักรถมีอยู่ทั่วไปตามทาง ร้านข้าวก็มีแต่ราคาค่อนข้างสูงทีเดียว ถ้าต้องการทำกับข้าวกินเองแนะนำให้ซื้อจากซุปเปอร์ตามเมืองหรือปั๊มน้ำมันให้พร้อม สำหรับทริปเราสองอาทิตย์คิดว่าเข้าซุปเปอร์เกิน 20 ครั้ง คนไทยเรื่องกินเรื่องใหญ่นะๆ
ห้องน้ำ - ที่เที่ยวหลายที่ไม่มีห้องน้ำให้เข้าเพราะฉะนั้นมีโอกาสก็เข้าตุนไว้เลยจะได้ไม่ต้องทน ระหว่างรีวิวผมช่วยอัพเดตด้วยว่าตรงไหนมีห้องน้ำ!
อุปกรณ์แนะนำ - ด้วยความที่ไปเที่ยวในช่วงอากาศผันผวนเสื้อผ้าพร้อมจะทำให้เที่ยวได้สนุกมากขึ้นเยอะ อุปกรณ์ที่แนะนำให้เตรียมไปด้วย
รองเท้า hiking สำหรับเดินขึ้นลงเขาลงเนินเพราะความปลอดภัยไม่ลื่น รองเท้าแบบนี้ส่วนใหญ่กันน้ำแต่เช็คให้ดี
เสื้อกันหนาว ฮีทเทคของUniqlo (ก็แน่ล่ะสิ) จำนวนเสื้อที่ใส่ทุกวันก็จะมี Heat Tech + เสื้อยืดหนาๆ + เสื้อดาวน์ขนเป็ด
ถุงมือกันหนาว
หมวกกันหนาวหรือ beanie
ถุงเท้าหนาๆกางเกงหนาๆ
กางเกงกันน้ำเวลาฝนหรือหิมะตก
เสื้อกันฝนกันลมแบบกระชับๆจะได้ไม่โดนลมพัดปลิว
บอกให้ทุกคนรู้ก่อนเลยว่ารีวิวนี้ขอนำเสนอทั้งสองด้าน ด้านที่สวยงามหลุดโลกและด้านประสบภัยที่มากับการเที่ยวในสถานที่ที่ธรรมชาติสุดโต่งอย่างไอซ์แลนด์ทุกคนจะได้รู้ว่ามาเที่ยว Iceland ต้องเตรียมตัวเตรียมใจยังไงบ้าง
Day 1 จาก Copenhagen สู่ไอซ์แลนด์สนามบิน Keflavík (เคล็ฟลาวิค) และ Reykjanes (เร-คยา-เนส)
การเดินทางมาไอซ์แลนด์จะไม่มีบินตรงจากเอเชียเลยเพราะฉะนั้นก็ต้องไปต่อเครื่องที่ยุโรปแผ่นดินใหญ่ จะไปต่อที่ไหนก็แล้วแต่จะเลือกกันเลยครับส่วนเราต่อเครื่องที่ Copenhagen กัน จริงๆก็ได้เที่ยวในเมืองโคเปนฮาเก้นนิดหน่อยเอาที่เที่ยวที่มีโอกาสได้ไปมารวบรวมไว้ให้ด้วย ดูได้จากลิงค์นี้เลยนะครับ
https://www.nopeopletravelphoto.com/post/copenhagen_2023
สนามบินนานาชาติเดียวของไอซ์แลนด์คือ Keflavík International Airport (KEF) ซึ่งอยู่ที่ Reykjanes เพราะงั้นมาถึงแล้วก็เที่ยวแถวนี้ก่อนเลย ที่เที่ยวตรงนี้มีไม่เยอะมากครับเหมาะกับการปรับเวลารักษา jetlag
Stafnesviti (สตาฟเนสวีตี)
ลงเครื่องแล้วมันใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกพอดีแถมอากาศดีเลยไปรื้อฟื้นวิชาถ่ายรูปใกล้ๆสนามบินก่อนเลยที่ Stafnesviti ง่ายๆเลยครับเป็นประภาคารสีส้มตั้งอยู่บนหน้าผาหินภูเขาไฟ ตัวประภาคารไม่ได้โดดเด่นอะไรนะแต่ว่าโขดหินรอบๆมี foreground ให้เล่นเยอะเลยทั้งลายหินพุ่งไปหาอาคารและเงาสะท้อนจากน้ำขัง
ช่วงนี้ฟ้าจะมืดไม่เร็วไม่ช้าเกินไปแถมไอซ์แลนด์นี่เค้าอยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากทำให้ฤดูนี้ฟ้าสวยยามเย็นหรือเช้าตรู่ยาวนานกว่าที่อื่นๆที่เคยไปมาเลยล่ะ ถ่ายรูปกันจุกๆ สำหรับคืนนี้เรานอนที่เมือง Grindavik คืนเดียว แนะนำ Grindavik Guesthouse นะครับเค้ามีของกินฟรีให้เยอะมากประทับใจสายหิว
Day 2 Reykjanes และเดินทางไป Snæfellsnes (สนาฟเฟลสเนส)
แน่นอนว่าคืนแรกมันจะตื่นเช้าๆหน่อย ที่เที่ยววันนี้สบายๆแต่ไปนั่งรอพระอาทิตย์ขึ้นเป็นงานหลักอยู่แล้ว
Valahnúkamöl (วาลันนูกามล)
ชื่อจะอ่านยากไรนักหนา จะพยายามหาคำอ่านมาให้นะครับ ตรงนี้เป็นสถานที่ริมผาริมทะเลและมีแท่งหินในน้ำเหมาะสำหรับคนชอบถ่ายภาพแนว seascape คลื่นกระจายกระทบฝั่งน้ำกระสานซ่านเซ็น
ขับรถมาแล้วจอดถ่ายรูปได้เลยก็จะได้ภาพแบบด้านบน แต่ดูแล้วมันก็ธรรมด๊าเลยหาเรื่องบนกองหินเพื่อลงไปใกล้น้ำมากขึ้นเห็นคลื่นกระเซ็นมากขึ้น หินใกล้ๆน้ำลื่นนะครับเดินต้องระวังมากๆ รูปสวยดีแต่ถ้าไม่มีชีวิตกลับไปแต่งรูปก็ไร้ค่า
นอกจากตรงหินแหลมนี้แล้วเดินต่อไปอีกก็ยังมีแนวผารอคลื่นซัดอีกด้วย ช่วงนี้ฟ้าสวยพอดีเลย พระอาทิตย์ตกพระอาทิตย์ขึ้นที่ไอซ์แลนด์เค้าสีสวยไม่เหมือนที่อื่นนะครับ เค้าจะออกสีบานเย็นมากกว่าสีส้ม พึ่งเคยเห็นครั้งแรกเลย แสงสวยนานๆฉ่ำแบบนี้เช้านี้ได้หลายมุมเลยนะ
ข้อควรระวังเวลาไปเที่ยวตอนหนาวๆเช้าๆคือพื้นเค้ามีแม่คะนิ้งเกาะอยู่วิธีดูคือมันจะระยิบระยับเวลาโดนแสง ลื่นมากครับและผมลื่นมาแล้ว พื้นเป็นหินภูเขาไปที่เป็นเกร็ดๆแหลมคมมากมือแหกเปิดเปิงเลือดอาบกว่าจะหายดีก็สองสามอาทิตย์เลยนะครับ เพราะแบบนั้นมีสติไว้ดีกว่านะ
Blue Lagoon มีห้องน้ำ
ถ้าใครเคยอ่านรีวิวไอซ์แลนด์น่าจะได้เห็นมาบ้าง คือตรงนี้มันเป็นที่แช่น้ำร้อนของรีสอร์ทที่คนนอกจ่ายเงินลงไปแช่ได้แต่ราคาสูงพอสมควร ไหนๆก็อยู่แถวนี้แว๊บมาดูหน่อย ด้านในมีคาเฟ่และร้านขายของเสื้อผ้าเครื่องสำอางให้ช๊อปได้เล็กน้อย
ถ้าไม่ไปแช่น้ำกับเค้าแถวนี้เดินเล่นรอบๆลากูนเค้าได้มีลาวามอสสวยๆให้เห็นด้วยโดยเดินตามทางเดินที่วนลูปกลับไปที่ลานจอดรถ
Sand Vik (แซนด์วิค)
ขับรถออกมาจาก Blue Lagoon นิดหน่อยไปเที่ยวทะเลบ้าง หลายคนตื่นเต้นที่จะเห็นหาดทรายดำของไอซ์แลนด์นะครับแต่บอกเลยว่าหาดไหนก็ดำ ถ้าเจอหาดขาวที่ไอซ์แลนด์แล้วค่อยตื่นเต้น! วันนี้อากาศดีฟ้าสวยมาก พอแสงสีฟ้าสะท้อนในน้ำแล้วตัดกับเนินหญ้าสีเหลืองสวยจัง
Bridge Between Continents
สะพานเชื่อมสองแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือและยูเรเชีย มองดูก็อาจจะไม่รู้ว่าคืออะไรแต่พอได้รู้ที่มาของหน้าผาสองฝั่งนี้แล้วดูยิ่งใหญ่ขึ้นมาเลยครับ เรายังลงไปเดินในร่องระหว่างแผ่นเปลือกโลกได้ด้วยนะ
ท่าถ่ายรูปแนะนำ ท่าเต้นเพลงไม่ธรรมดา โดยไชยา มิตรชัย
รอบๆสนามบิน Keflavik มีห้องน้ำที่พิพิธภัณฑ์
วนกลับมาใกล้ๆ Keflavik Airport เพราะว่าจริงๆแล้วมีเพื่อนร่วมทริปตกค้างมาถึงช้ากว่าวันนึงเลยได้ตามเก็บที่เที่ยวแถวนี้ระหว่างรอได้หมดเลยโดยเริ่มที่พิพิธภัณฑ์ไวกิ้งที่ด้านในมีประวัติศาสตร์ของไอซ์แลนด์ในยุคไวกิ้ง มีเรือไวกิ้งจำลองที่ถูกใช้แล่นไปถึงแคนาดากับนิวยอร์คมาแล้ว นอกจากนี้ยังมีเกม VR ให้ได้สัมผัสกับสนามรบของชาวไวกิ้งในอดีตให้เล่นขำๆด้วยนะ
Holmsberg lighthouse หรือประภาคารโฮมส์เบิร์กอยู่ห่างไปนิดเดียว มองออกไปเห็นผาสูงริมทะเลกับประภาคารสีส้ม
Garður Old Lighthouse น่าจะออกเสียงว่า การ์ดรึ แบบกระดกลิ้นรัวๆ 555 เป็นประภาคารอยู่แหลมสุดของ Reykjanes มีประภาคารอยู่สองหลังเก่าใหม่
วันแรกวอร์มอัพกันแล้วพร้อมสุดๆสำหรับขับรถทางไกล หลังจากรับสมาชิกคนสุดท้ายคืนนี้เราจะขับรถเข้าสู่ Snæfellsnes ในไอซ์แลนด์ตะวันตกกันเลย!
Day 3 Snæfellsnes (สนาฟเฟลสเนส)
คืนก่อนเราพักกันในเมือง Grundarfjörður ซึ่งอยู่ใกล้ที่เที่ยวฮิทๆหลายอันเลย ระหว่างขับรถมาฝนเริ่มตกเลยล้มเลิกแผนออกไปหาแสงเหนือแล้วกินข้าวกินปลาพักผ่อน เช้านี้เลยฟิตเต็มที่ออกตั้งแต่ก่อนอาทิตย์ขึ้น
Kolgrafarfjördur Viewpoint (คล-กรา-ฟา-ฟยอด-ดึ)
ขับรถออกมาจากที่พักตื่นเต้นมากเลยครับเพราะคืนก่อนมืดตึ๊บไม่เห็นอะไรเลย ถนนหนทางใน Snæfellsnes สวยงามมากจริงๆไม่ว่าจะโค้งสวยงาม แนวเขาสลับกัน ที่ประทับใจสุดๆคือสีเขียวอ่อนของมอสและสีส้ม สีแดงของหญ้าในฤดูใบไม้ร่วงที่ตัดกันพอดิบพอดี ริมๆทางบางทีก็มีแกะเดินกันดุ๊กๆด้วย ภาพที่เห็นนี้ถ่ายเวลาใกล้เคียงกันนะครับแต่หันกล้องคนละทางก็ได้สภาพอากาศที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวได้เลย นี่แหละไอซ์แลนด์ดินแดนอากาศแปรปรวน
จุดชมวิวของเราอยู่ริมน้ำ เช้านี้เมฆเยอะเอาเรื่องเลยครับเลยไม่เห็นเขาทั้งหมด แต่เห็นแบบนี้แล้วมันยิ่งสวยเข้าไปใหญ่ ดูแล้วลึกลับนุ่มนวลน่าค้นหา
ยืนรออยู่พักนึงครับเผื่อว่าเมฆจะจางลงบ้างให้เมฆที่โดนแสงอาทิตย์ได้ออกมาบ้างแต่กลับได้ภาพที่ทำให้ใจเต้นยิ่งกว่าคือมีนกบินมาสองตัวคู่กันพอดี เงา sillouette ของนกตัดกับหมอกขาวๆบินคู่กับเนินเขาสีสันสดใส จังหวะดีมากๆ เช้านี้เป็นเช้าที่ดีมากๆ
แสงยังสวยอยู่แบบนี้ขับรถไปเที่ยวต่อเลยเถอะ ตรงนี้บอกตรงๆว่าไม่ได้วางแผนมาเยอะแล้วมาขับรถตระเวนไปมาตรงไหนสวยจอดรัวๆไปเลยจ้า
Lava Rocks Formations ริมถนน
ข้างทางถนนสาย Snæfellsnesvegur มีทุ่งหินลาวาแหลมคมรูปร่างพิลึกพิลั่นปกคลุมด้วยลาวามอสสีเขียวยาวไปไกลสุดสายตา เห็นแล้วมันรู้สึกเหมือนเราไปอยู่ที่ดาวอื่นอะไรไม่รู้ ถ่ายรูปตรงนี้สนุกมากเพราะมี foreground ให้เล่นเยอะมากโดยให้ภูเขาไฟเตี้ยๆด้านหลังเป็น background
ถ้าดูรูปสุดท้ายจะเห็นเมฆมันคลืบคลานเข้ามาแล้ว อากาศเปลี่ยนได้ทุกชั่วโมงจริงๆแต่เห็นแบบนี้แล้วภาพยอดแหลมมากมายของภูเขาทะลุเมฆหมอกออกมามันได้อารมณ์
Selvallafoss (เซลวัลลาฟอส)
พอฝนเริ่มตกเราก็ว้าวุ่นกันเลย คิดอยู่ว่าจะไปเที่ยวต่อหรือจะกลับไปรอฝนหยุด แต่ฝนจะหยุดตอนไหนก่อน ด้วยความฟิตของชาวคณะเราเลยตัดสินใจไปเที่ยวต่อแบบเปียกๆ ตอนไปเสื้อกันฝนก็โคตรจะไม่เหมาะกับสถานที่ลมแรงสุดท้ายยอมเปียกไปเลยจ้า สงสารก็แต่กล้องที่เปียกปอนแต่น้องทำงานได้ดีมากตลอดทริปไม่งอแงเลย
น้ำตก Selvallafoss เป็นน้ำตกเล็กๆครับแต่ว่าความโดดเด่นคือสามารถเดินเข้าไปด้านหลังน้ำตกได้คล้ายๆกับอีกน้ำตกทางภาคใต้แต่อันนี้คนน้อยมากไม่ต้องไปแย่งกะคนอื่นถ่ายรูปเลยมีแต่เรากลุ่มเดียว
ทางเดินจะงงๆหน่อยแต่ไม่ต้องกังวล จอดรถแล้วเดินลงเนินไปเรื่อยๆจนเจอริมผาจะเห็นน้ำตกได้เอง ระหว่างทางใบไม้ใบหญ้าสีสวยด้วยนะ
หลังจากนั้นทางเดินอาจดูเปียกและลื่นแต่ถ้าใส่รองเท้าถูกต้องจะเกาะหนึบดีมากครับ แต่ถ้าเป็นน้ำแข็งไม่ได้นะครับผม
อ่ะรอฝนหยุดอยู่ใต้น้ำตกแต่มันไม่มีทีท่าเลยออกไปฝ่าฝนขับรถไปกินข้าวละกัน แล้วฝนมันก็หยุดตอนกินข้าวพอดีเหมือนฟ้าแกล้งกัน อาหารแถวนอกเมืองเค้าก็จะเน้นไปทางพวกเบอร์เกอร์ ฟิชแอนด์ชิป พวกนี้ล่ะครับ ใครชอบกินข้าวก๋วยเตี๋ยวก็ต้องทนนิดนึงนะครับเวลาเที่ยวยุโรป
Grundarfoss (กรุนดาฟอส)
กินข้าวอิ่มแล้วเข้าซุปเปอร์ตุนของกินซื้อหนมกรุบกรอบแล้วไปเที่ยวต่อที่ Grundarfoss การไปจะงงๆเล็กน้อย
ปักหมุดที่จอดรถตรงนิ https://maps.app.goo.gl/NsFX38Tkmy8M4X8FA
ทางเข้ามีประตูปิดอยู่ซึ่งสามารถเปิดประตูเล็กด้านข้างได้ เปิดแล้วปิดด้วยเดี๋ยววัวควายเค้าหนี
เดินเลาะรั้วไปเรื่อยๆจะเจอลำธารต้องเดินข้ามไปแล้วเลาะรั้วต่อไปเรื่อยๆก็จะใกล้น้ำตกมากขึ้น จะเข้าไปใกล้แค่ไหนตามใจปราถนา
น้ำใสไหลเย็นสวยมากเลยครับ โดยส่วนตัวผมชอบสถานที่ที่มีน้ำใสไหลผ่านมากๆเลย บางทีก็มีความอยากลองวักน้ำมากินแต่ต้องมั่นใจจริงว่าดื่มได้ปลอดภัยก่อนนะ น้ำตกสูงมากเลยครับนอกจากอันซ้ายใหญ่ๆแล้วยังมีอันเล็กๆทางขวาด้วย ไอซ์แลนด์นี่เป็นประเทศแห่งน้ำตกจริงๆ
มองไปข้างๆมีภูเขาสูงใหญ่อยู่ด้วยแต่อากาศมืดครึ้มยังอยู่ ตอนนี้ลมเริ่มแรงๆแล้วนะซึ่งบริษัทเช่ารถก็ส่งอีเมล์มาเตือนว่ามีพยากรณ์พายุเข้าและลมจะแรง เวลาขับรถต้องระวังและเปิดประตูต้องจับมั่นๆไม่งั้นลมอาจพัดประตูหักได้เลยนะ แต่ส่วนใหญ่ที่เจอคือลมพัดจนเปิดประตูไม่ออก 555
ไม่เป็นไรใจยังสู้ ขับรถไปดูที่เที่ยวอื่นอีก ลองไปดูที่ชายหาด Klausisdóttirsfjara ใกล้ๆดูปรากฎว่าอากาศแถวนี้แย่ยับเยินกว่าเดิมอีก จริงๆเราก็กะจะขับรถไปเที่ยวต่อทางทิศตะวันตกแต่ดูสภาพแล้วทุกคนเห็นด้วยว่าควรถอยแล้วล่ะ
Kirkjufellsfossar
ถอยกลับมาใกล้ที่พักแล้วแต่มันพลาดตรงนี้ไม่ได้จริงๆถึงแม้ฟ้าจะหม่นลมจะแรง เขา Kirkjufell เป็นแลนด์มาร์คหลักๆของที่นี่เลยแล้วเคยออกมาในซีรีย์ Game of Thrones ด้วย ที่จอดตรงนี้มีค่าจอด 700 ISK หรือประมาณ 180 บาท แต่ถ้าไม่อยากจ่ายสามารถจอดริมทางได้แต่ต้องเดินเพิ่มนิดหน่อยครับ โหขนาดฟ้าเน่าๆยังสวยเลยเนอะ น้ำตกเค้าไม่ใหญ่มากครับแต่รวมกับเขาข้างหลังแล้วมันช่างลงตัว คนเยอะมากเลยนะครับเพราะฉะนั้นเลยต้องมาลบด้วย Photoshop AI Remove Tool เพราะตรงนี้ลมแรงมากเลยใช้ขาตั้งลำบากเอามาซ้อนหลายๆใบเพื่อลบคนได้ยาก
เดินขึ้นเดินลงเข้ามาใกล้น้ำตกได้ด้วยนะครับ เลือกมุมที่ชอบได้เลยให้คุ้มค่าจอด คืนนี้เราเป็นอันต้องเลิกเร็วเพราะฝนตกหนักมากขึ้น ไว้คืนนี้นอนฝันว่าพรุ่งนี้ฝนจะเลิกตก
Day 4 Snæfellsnes ต่อ Geysir และ Gullfoss
ตื่นขึ้นมาแล้วก็ขำเลย แต่เป็นขำทั้งน้ำตาเพราะฝนยังตกอยู่แถมลมแรงมากกกก แบบชีวิตนี้ไม่เคยเจอลมแรงขนาดนี้มาก่อน มันเริ่มขึ้นแล้วทริปผู้ประสบภัย ขอบคุณสมาชิกทริปทุกคนที่คอยผลัก(กด)ดันว่าเราต้องไปเที่ยวต่อ! วันนี้ต้องขับรถเยอะข้ามเมืองด้วยนะ
Lóndrangar Viewpoint (ล๊อนดรานกา)
ระหว่างทางที่ขับมานี่ฝนและหมอกมีมาตลอดแถมบางช่วงหมอกหนาจนมองไปข้างหน้าได้ไม่กี่เมตรเอง ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็ขับช้าๆเปิดไฟหน้านะครับ พอถึงที่จอดรถแล้วฝนตกหนักเลย นั่งทำใจบนรถกันซักพักแล้วลงไปใส่เสื้อกันฝนที่ไร้ประโยชน์เพราะมันเป็นแบบที่พร้อมจะโบยบินไปกับสายลม ตรงนี้เลยตัดสินใจไม่เอากล้องลงไปเพราะฝนแรงมากเลยยังไงหน้าเลนส์เปียกโชกถ่ายไม่ได้แน่นอน ได้ใช้แค่มือถือพอเพราะอุตส่าห์ซื้อ Xiaomi 13 Ultra ที่มีกล้องพัฒนาร่วมกับ Leica มาใช้ เอามาลองฝีมือหน่อย
มารอบนี้เลยได้ดูจากจุดชมวิวอย่างเดียวเลยเพราะว่าเดินลงไปริมผาไม่ได้จริมๆกลัวลมพัดตกเขาแท้ๆ ถ้าใครมีโอกาสควรเดินลงไปดูใกล้ๆกับแท่งหินแล้วเอารูปมาฝากบ้างนะครับ
Arnarstapi มีห้องน้ำในคาเฟ่
เป็นหมู่บ้านประมงทางใต้ของ Snæfellsnes เป็นที่เที่ยวแบบเดินดูริมผา ที่จอดฟรีเลยจอดตรงไหนก็ได้เพราะทางเดินวนเป็นลูป ตรงที่จอดรถจะมีรูปปั้นอะไรก็ไม่รู้ตั้งอยู่ชื่อว่า Bárður Snæfellsás Statue จากตรงนี้ หลังจากนี้ก็เดินเรื่อยเปื่อยได้ตามสะดวกเลย
ริมผาจะมีหินรูปร่างหน้าตาแปลกๆเกิดจากการกัดกร่อนจากคลื่นลมทะเลให้เดินดูท่ามสายฝน มีแท่งหินบะซอลต์ 6 เหลี่ยมสูงใหญ่ทั้งแนวผาเลย
ไหนทุกคนคิดยังไงบ้างกับภาพที่ถ่ายโดย Xiaomi 13 Ultra ถ้ามันดีนักจะได้ไม่ต้องแบกกล้องไปเที่ยว!
Rauðfeldsgjá Gorge
ที่ Arnastapi มีร้านข้าวเยอะก็เลยรีบกินซะก่อนเลยเพราะเดี๋ยวจะต้องขับรถทางไกล กินข้าวแล้วก็ขับรถมุ่งสู่จุดหมายถัดไป ระหว่างทางก็มองเห็นคนจอดรถเต็มเลยแล้วมองเข้าไปเห็นเป็นหน้าผาสูงมากแล้วมีคนเดินเข้าไปในหุบเขาด้วย เห็นแล้วมันอดสงสัยไม่ได้เลยจอดเดินเข้าไปดูบ้าง ทางเดินไม่ยากแต่มีขึ้นเนินเล็กน้อยครับผม
หน้าผาเป็นก้อนหินใหญ่อลังการมากเลยแล้วยิ่งมีเมฆติดยอดผาด้วยทำให้เพิ่มบรรยากาศเข้าไปอีก
หันกลับไปก็สวยนะครับ ดูแล้วก็งงว่าเดี๋ยวเมฆครึ้มเดี๋ยวมีแดด ชีวิตมันสับสน
พอถึงด้านหน้าช่องเขาแล้วมีคิวนิดหน่อยเพราะเข้าออกได้ทีละคน เราเข้าไปนิดหน่อยเพราะว่ากลัวที่แคบ
ออกมาจากถ้ำฝนตกอีกแล้วจ้าเพราะแบบนั้นถึงเวลาขับรถทางไกลไปสู่ทิศตะวันออกตามทางของเรา การขับรถจุดนี้จะรู้สึกไม่ปลอดภัยเล็กน้อยเพราะลมพัดจนรถส่ายต้องคอยดึงพวงมาลัยกลับมา แต่ขับไปซักพักก็เริ่มชิน ถ้าไม่มั่นใจขับช้าๆไว้ปลอดภัยที่สุดครับ นานๆทีก็จะเห็นข้างทางมีรถหงายท้องอยู่เป็นเครื่องเตือนใจ
Geysir มีห้องน้ำ
ขับรถมาประมาณ 3 ชั่วโมงก็มาถึงแล้วเกย์เซอร์ น้ำพุร้อนที่เดือดปุดๆตลอดเวลามาเป็นเวลาเกินกว่าหมื่นปีแล้ว คนมายืนรอดูน้ำพุ่งกันเยอะเลยครับแล้วมันแบบรอนานอยู่นะ บางทีก็รอห้านาทีบางทีก็สิบนาทีถึงจะพุ่งออกมา บางทีก็พุ่งออกมาสูงเท่าเอวแล้วก็ต้องรอใหม่ แล้วที่ฮากว่านั้นคือพอถอดใจเลิกรอมันก็จะพุ่งแบบใหญ่โตตอนเราเก็บกล้องไปแล้ว ทุกครั้ง!
แต่ยังถ่ายติดมาด้วยนะ ฟ้ากำลังสวยเลยข้างหลัง เห็นฟ้าแบบนี้หลังจากฝนตกมาทั้งวันเลยรีบพุ่งไปที่ Gullfoss กันเถอะ!
Gullfoss มีห้องน้ำ
น้ำตกนี้ใหญ่เว่อๆแบบที่จอดรถยังมีละอองน้ำ เค้าจะมีที่จอดรถชั้นบนกับชั้นล่างจอดไหนก็ได้เพราะเดินถึงกันได้หมด ตรงนี้คนเยอะมากเพราะเป็นที่ที่รัฐบาลไอซ์แลนด์โปรโมทเป็นส่วนหนึ่งของ Golden Circle เลยทำให้ Gullfoss เป็นน้ำตกที่โด่งดังที่สุดของไอซ์แลนด์
อันนี้คือดูน้ำตกจากชั้นล่างจะได้ภาพแบบใกล้ชิดกับน้ำมากกว่าแต่เดินไปใกล้ๆคงจะเปียกซ่กแน่ๆเลย
มุมจากชั้นบนครับ ตอนมาถึงแล้วฟ้าสวยๆมันหายไปแล้วอ่ะแต่ก็มองเห็นว่าฟ้าเริ่มเปิดมากขึ้นเรื่อยๆเลยคิดว่าเอ้าพรุ่งนี้เช้ากลับมาใหม่ต้องได้แสงสวยๆแน่ๆเลย
คืนนี้เข้าที่พักแล้วเอ้ยฟ้าเปิดอยู่ออกไปข้างนอกมองเห็นดาว แล้วแอพ Aurora เค้าบอกว่า KP index 2 นิดๆซึ่งมันเป็นระดับที่ตาจะมองเห็นลางๆแต่กล้องจะถ่ายติดเลยออกไปลองซ้อมดูหน่อย ปรากฎว่าถ่ายติดจริงๆด้วย ใจชื้นๆมาเที่ยวไอซ์แลนด์อย่างน้อยมีรูปแสงเหนือแล้ว ยืนอยู่ประมาณ 10 นาทีเมฆมันเริ่มเยอะขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเลยกลับบ้านนอนโลด
Day 5 Gullfoss, Brúarfoss, Sigöldugljúfur, Haifoss
วันนี้ที่เที่ยวน้ำตกล้วนเลยแต่ว่าแต่ละที่ความสวยล้ำค่าแน่นอนแล้วก็ขับรถไปยากพอสมควรด้วยมาๆเล่าให้ฟัง
Gullfoss รอบสอง
คืนก่อนกะมาซ้ำอยู่แล้วเลยออกแต่เช้าเลย แต่ประเด็นคือคืนก่อนนอนอยู่เหมือนมีคนเอาไม้มาทุบกำแพงบ้าน คือลมมันแรงมากจนกิ่งไม้ฟาดกับกระจกเปรี๊ยะๆ ชะโงกหน้าออกไปดูเห็นต้นไม้นี่เอนเลยนะ แต่ตื่นแล้วขอออกไปดูหน่อย ปรากฎว่าคืนก่อนพายุหิมะเข้าเด้อ ออกมารถขาวจั๊วะถนนเค้าก็ยังไม่ได้กวาดเลยต้องขับกันช้าๆหน่อยเพราะลมแรงขนาดพัดหิมะจากพื้นขึ้นมาโดนกระจกก็ได้แหละ
พอมาถึงวันนี้จอดข้างบน เห็นแล้วสภาพอากาศดูน่ากลัวมากเพราะไม่เคยไปไหนที่หิมะเต็มๆขนาดนี้มาก่อน ลมพัดต้านการเดินมาก! หิมะหรือเกล็ดน้ำแข็งไม่รู้พัดเข้ามาฟาดหน้าเหมือนโดนข้าวสารเสก
ความคาดหวังเมื่อคืนคือเช้านี้ฟ้าใสแสงสวยแน่ๆ มาเจอกับกับจริง ที่หน้าเปียกเพราะหิมะที่ฟาดหน้าหรือน้ำตาจากความเจ็บช้ำ 555 แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยล่ะที่ผมได้เจอกับแลนด์สเคปที่มีหิมะคลุมทั่วขนาดนี้
ไม่เป็นไรนะ ชีวิตยังไปต่อ จริงๆอยากจะแนะนำที่พักด้วยถ้าใครผ่านมาแถวนี้เพราะบ้านลุงคนนี้เค้าสวยน่ารักมากแล้วมีข้าวเช้าให้กินด้วย ชื่อว่า Arbakki Farmhouse Lodge
Brúarfoss (บรูอาฟอส)
เช็คเอาท์ออกจากที่พักแล้วไปต่อกันที่ Brúarfoss อยู่ใกล้ๆกับที่พักเลย ทีนี้ถ้าเปิด Google Map หาชื่อน้ำตกแล้วมันจะพาไปผิดที่ ให้ตั้งโลเคชั่นไว้ที่ Brúarfoss Parking แทนครับ ตรงนี้เป็นที่ส่วนบุคคลเลยต้องจ่ายค่าจอด 750 isk โดยจ่ายได้ผ่านแอพ Parka เท่านั้น ตรงที่จอดจะมี QR ไว้ให้ดาวน์โหลดครับ
เดินจากที่จอดนิดเดียวก็เจอแล้วน้ำตกสีฟ้าสดใสที่มีสายน้ำตกเล็กๆเป็นร้อยๆสายซึ่งถ่ายรูปนี้จากสะพานไม้เล็กๆ จริงๆแล้วคำว่า Brúarfoss แปลว่าน้ำตกสะพานตรงๆเลยแหละ
Sigöldugljúfur
หลังจากใช้เวลานิดหน่อยแล้วแต่เวลาก็เหลือเยอะเลยเติมที่เที่ยวเพิ่มอีกอันที่เค้านับว่าอยู่บน Highland ของไอซ์แลนด์แล้วนะครับ แบบนี้แปลว่าถนนที่จะเข้าไปถึงเป็น F road ที่เข้าไปได้ต้องใช้รถ 4x4 จริงๆก็เห็นรถอื่นเข้าไปแต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุประกันจะไม่รับผิดชอบนะครับ
ระหว่างทางก็เป็นหิมะทั้งนั้นเลยเป็นภาพที่แปลกตาและสวยมากๆจากคนที่แถวบ้านไม่มีหิมะ
ถนนตรงนี้ที่เป็นเนินขึ้นลงสลับกันสวยดีเหมือนกันครับ คนขับรถก็ต้องตั้งใจขับหน่อยอย่าห่วงดูวิว ถ่ายด้วยมือถือจากบนรถยังสวยเลย ภาพสีอะไรดูแล้วเหมือนขาวดำ
ถนนก็สวยนะครับแต่ขับแล้วก็รู้สึกวังเวงเล็กน้อย พอใกล้ๆจะถึงแล้วถนนจะกลายเป็นทางกรวดแล้วความโหดคือมันขึ้นเขาสูงและชันเล็กน้อยด้วย ใครขับไม่แข็งแนะนำว่าให้ข้ามอันนี้ไปดีกว่านะครับโดยเฉพาะถ้าหิมะตกแบบนี้ ตอนขับกังวลนิดหน่อย คนขับกลัวพาคนอื่นมาเสี่ยงคนนั่งก็กลัวคนขับพามาเสี่ยง 555
ภาพนี้คือทางที่จับมาจะเห็นว่าทางไม่ค่อยชัดแล้วมีหิมะเข้ามากองบนถนนเล็กน้อย ขับช้าๆครับแล้วจะดีเอง ที่จอดจะอยู่ริมถนนเลยพอลงมาก็ให้เดินตามทางที่เค้าทำสัญลักษณ์เป็นไม้ยอดสีแดงให้เดินตามไม้นี่แหละครับจะไม่หลง ตอนที่เรามากันหิมะเยอะจริงๆจนรู้สึกกลัวหลงกลัวภัยพิบัติเล็กน้อย เลยถ่ายรูปหมู่แล้วอัพลงโซเชียลไว้เผื่อหายไปคนจะได้รู้ว่าให้มาตามหาที่ไหน 555 เป็นสิ่งควรทำก่อนไปเที่ยวเดินป่าเดินเขานะครับ
ทางเดินเข้าไปก็ไม่ยากเลยนะครับ วิวระหว่างทางก็สวยเป็นผาหินสูงแล้วมีแม่น้ำสีฟ้าสดใสด้านล่าง เห็นแล้วนึกถึงโอรีโอ