top of page
  • รูปภาพนักเขียนOpp

Iceland Road Trip จากภาคตะวันตกสู่ภาคตะวันออก ไอซ์แลนด์ทริปเดียวครบทุกสภาพอากาศ

อัปเดตเมื่อ 17 เม.ย.


รีวิวไอซ์แลนด์ ไอซ์แลนด์ ถ่ายภาพแลนด์สเคป ภาพวิว iceland landscape photography

เดือนที่เดินทาง - ตุลาคม 2023


The Land of Fire and Ice สมญานามนี้ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเล่นๆ Iceland เป็นสถานที่ที่ยากจะบรรยายถึงความมหัศจรรย์ถ้าคนฟังไม่ได้ไปเห็นด้วยตัวเอง วันนี้ก็เลยจะขอพยายามบรรยายบรรยากาศการไปเที่ยวไอซ์แลนด์ให้ฟังละกันนะครับ 555 ทริปนี้คณะเราใหญ่มากกว่าปกติคือมีถึง 5 คน แล้วแต่ละคนก็ช่วยกันอยากเที่ยว เดินไม่ไหวก็ถูลู่ถูกังไปกันจนได้


สำหรับคนชอบถ่ายภาพแลนด์สเคปภาพวิวธรรมชาติแล้ว Iceland คงเป็นอะไรที่อยากไปเห็นซักครั้ง แต่จะมีกี่คนที่รู้ว่าการไปเที่ยวไอซ์แลนด์นั้นเต็มไปด้วยสิ่งไม่คาดฝันโดยเฉพาะการไปเที่ยวช่วงฤดูเปลี่ยนผ่านอย่างฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูใบไม้ผลิ เพราะแบบนั้นเลยเอามาแนะนำว่าควรเตรียมตัวแบบไหนบ้าง

  • สภาพอากาศ - เดือนตุลาคมที่ไอซ์แลนด์จะเป็นเดือนสุดท้ายของฤดูใบไม้ร่วงก่อนจะเข้าหน้าหนาว เพราะแบบนี้อากาศหนาวเอาเรื่องเลย บางที่มีลงไปถึง -5 องศาเซลเซียสตอนเช้าตรู่

  • การเดินทาง - จะใช้ขับรถตลอดทางครับ ถนนโล่งเป็นส่วนใหญ่จะมีรถเยอะหน่อยก็ในเมือง Reykjavik แต่รถน้อยกว่าอยู่บ้านเราแยะ สิ่งที่ควรรู้คือบริษัทเช่ารถจะมีการส่งอีเมลมาเตือนล่วงหน้าถ้ามีพยากรณ์ว่าจะมีพายุเข้า ซึ่งเวลาพายุเข้านี่ขับรถจะแกว่งมากจากลมที่พัดรถแทบปลิว การขับก็ไม่มีอะไรมากต้องมีสติและไม่ขับเร็วเกินไป

  • ประเภทรถ - ไอซ์แลนด์จะมีถนนบางส่วนโดยเฉพาะส่วนที่อยู่บนเขาสูงที่เค้าเรียกว่า F Road ซึ่งถนนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นทางลูกรังค่อนข้างแย่ ถนนนี้เค้าจะให้รถ 4x4 เข้าไปได้อย่างเดียว เพราะฉะนั้นการวางแผนเที่ยวควรดูให้ดีด้วยนะครับว่ารถที่ใช้เข้าไปได้หรือไม่

  • ที่พัก - ที่พักที่ไอซ์แลนด์ส่วนใหญ่เป็น guesthouse แบบที่ต้องแชร์ห้องน้ำห้องครัวกับคนอื่น หรือจะเป็นแบบ Hostel ที่นอนรวมกับคนอื่น ห้องครัวก็แล้วแต่ที่ที่ไปแต่ส่วนใหญ่สามารถทำอาหารเบาๆได้ไม่มีปัญหา

  • ที่จอดรถ - ถ้าเป็นนอกเมืองจอดฟรีแทบทั้งหมด มีที่เที่ยวบางที่ที่ฮอทมากๆจะมีการเก็บค่าจอด แต่ถ้าขับในเมืองต้องจ่ายค่าจอดทุกสถานที่ครับ จะลงรายละเอียดการจอดรถในเมืองเพิ่มเติมในภายหลังครับ แนะนำโหลดแอพ Parka เตรียมไว้ก่อนเลย

  • อาหาร - จุดพักรถมีอยู่ทั่วไปตามทาง ร้านข้าวก็มีแต่ราคาค่อนข้างสูงทีเดียว ถ้าต้องการทำกับข้าวกินเองแนะนำให้ซื้อจากซุปเปอร์ตามเมืองหรือปั๊มน้ำมันให้พร้อม สำหรับทริปเราสองอาทิตย์คิดว่าเข้าซุปเปอร์เกิน 20 ครั้ง คนไทยเรื่องกินเรื่องใหญ่นะๆ

  • ห้องน้ำ - ที่เที่ยวหลายที่ไม่มีห้องน้ำให้เข้าเพราะฉะนั้นมีโอกาสก็เข้าตุนไว้เลยจะได้ไม่ต้องทน ระหว่างรีวิวผมช่วยอัพเดตด้วยว่าตรงไหนมีห้องน้ำ!

  • อุปกรณ์แนะนำ - ด้วยความที่ไปเที่ยวในช่วงอากาศผันผวนเสื้อผ้าพร้อมจะทำให้เที่ยวได้สนุกมากขึ้นเยอะ อุปกรณ์ที่แนะนำให้เตรียมไปด้วย

    1. รองเท้า hiking สำหรับเดินขึ้นลงเขาลงเนินเพราะความปลอดภัยไม่ลื่น รองเท้าแบบนี้ส่วนใหญ่กันน้ำแต่เช็คให้ดี

    2. เสื้อกันหนาว ฮีทเทคของUniqlo (ก็แน่ล่ะสิ) จำนวนเสื้อที่ใส่ทุกวันก็จะมี Heat Tech + เสื้อยืดหนาๆ + เสื้อดาวน์ขนเป็ด

    3. ถุงมือกันหนาว

    4. หมวกกันหนาวหรือ beanie

    5. ถุงเท้าหนาๆกางเกงหนาๆ

    6. กางเกงกันน้ำเวลาฝนหรือหิมะตก

    7. เสื้อกันฝนกันลมแบบกระชับๆจะได้ไม่โดนลมพัดปลิว

ซ้าย: เสื้อกันฝนที่จะพาซวย ขวา: เสื้อกันฝนหนักๆกระชับไม่ปลิว

บอกให้ทุกคนรู้ก่อนเลยว่ารีวิวนี้ขอนำเสนอทั้งสองด้าน ด้านที่สวยงามหลุดโลกและด้านประสบภัยที่มากับการเที่ยวในสถานที่ที่ธรรมชาติสุดโต่งอย่างไอซ์แลนด์ทุกคนจะได้รู้ว่ามาเที่ยว Iceland ต้องเตรียมตัวเตรียมใจยังไงบ้าง


 

Day 1 จาก Copenhagen สู่ไอซ์แลนด์สนามบิน Keflavík (เคล็ฟลาวิค) และ Reykjanes (เร-คยา-เนส)

การเดินทางมาไอซ์แลนด์จะไม่มีบินตรงจากเอเชียเลยเพราะฉะนั้นก็ต้องไปต่อเครื่องที่ยุโรปแผ่นดินใหญ่ จะไปต่อที่ไหนก็แล้วแต่จะเลือกกันเลยครับส่วนเราต่อเครื่องที่​ Copenhagen กัน จริงๆก็ได้เที่ยวในเมืองโคเปนฮาเก้นนิดหน่อยเอาที่เที่ยวที่มีโอกาสได้ไปมารวบรวมไว้ให้ด้วย ดูได้จากลิงค์นี้เลยนะครับ

https://www.nopeopletravelphoto.com/post/copenhagen_2023


สนามบินนานาชาติเดียวของไอซ์แลนด์คือ Keflavík International Airport (KEF) ซึ่งอยู่ที่ Reykjanes เพราะงั้นมาถึงแล้วก็เที่ยวแถวนี้ก่อนเลย ที่เที่ยวตรงนี้มีไม่เยอะมากครับเหมาะกับการปรับเวลารักษา jetlag


Stafnesviti (สตาฟเนสวีตี)

ลงเครื่องแล้วมันใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกพอดีแถมอากาศดีเลยไปรื้อฟื้นวิชาถ่ายรูปใกล้ๆสนามบินก่อนเลยที่ Stafnesviti ง่ายๆเลยครับเป็นประภาคารสีส้มตั้งอยู่บนหน้าผาหินภูเขาไฟ ตัวประภาคารไม่ได้โดดเด่นอะไรนะแต่ว่าโขดหินรอบๆมี foreground ให้เล่นเยอะเลยทั้งลายหินพุ่งไปหาอาคารและเงาสะท้อนจากน้ำขัง

ช่วงนี้ฟ้าจะมืดไม่เร็วไม่ช้าเกินไปแถมไอซ์แลนด์นี่เค้าอยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากทำให้ฤดูนี้ฟ้าสวยยามเย็นหรือเช้าตรู่ยาวนานกว่าที่อื่นๆที่เคยไปมาเลยล่ะ ถ่ายรูปกันจุกๆ สำหรับคืนนี้เรานอนที่เมือง Grindavik คืนเดียว แนะนำ Grindavik Guesthouse นะครับเค้ามีของกินฟรีให้เยอะมากประทับใจสายหิว

 

Day 2 Reykjanes และเดินทางไป Snæfellsnes (สนาฟเฟลสเนส)

แน่นอนว่าคืนแรกมันจะตื่นเช้าๆหน่อย ที่เที่ยววันนี้สบายๆแต่ไปนั่งรอพระอาทิตย์ขึ้นเป็นงานหลักอยู่แล้ว


Valahnúkamöl (วาลันนูกามล)

ชื่อจะอ่านยากไรนักหนา จะพยายามหาคำอ่านมาให้นะครับ ตรงนี้เป็นสถานที่ริมผาริมทะเลและมีแท่งหินในน้ำเหมาะสำหรับคนชอบถ่ายภาพแนว seascape คลื่นกระจายกระทบฝั่งน้ำกระสานซ่านเซ็น

ขับรถมาแล้วจอดถ่ายรูปได้เลยก็จะได้ภาพแบบด้านบน แต่ดูแล้วมันก็ธรรมด๊าเลยหาเรื่องบนกองหินเพื่อลงไปใกล้น้ำมากขึ้นเห็นคลื่นกระเซ็นมากขึ้น หินใกล้ๆน้ำลื่นนะครับเดินต้องระวังมากๆ รูปสวยดีแต่ถ้าไม่มีชีวิตกลับไปแต่งรูปก็ไร้ค่า


นอกจากตรงหินแหลมนี้แล้วเดินต่อไปอีกก็ยังมีแนวผารอคลื่นซัดอีกด้วย ช่วงนี้ฟ้าสวยพอดีเลย พระอาทิตย์ตกพระอาทิตย์ขึ้นที่ไอซ์แลนด์เค้าสีสวยไม่เหมือนที่อื่นนะครับ เค้าจะออกสีบานเย็นมากกว่าสีส้ม พึ่งเคยเห็นครั้งแรกเลย แสงสวยนานๆฉ่ำแบบนี้เช้านี้ได้หลายมุมเลยนะ

ข้อควรระวังเวลาไปเที่ยวตอนหนาวๆเช้าๆคือพื้นเค้ามีแม่คะนิ้งเกาะอยู่วิธีดูคือมันจะระยิบระยับเวลาโดนแสง ลื่นมากครับและผมลื่นมาแล้ว พื้นเป็นหินภูเขาไปที่เป็นเกร็ดๆแหลมคมมากมือแหกเปิดเปิงเลือดอาบกว่าจะหายดีก็สองสามอาทิตย์เลยนะครับ เพราะแบบนั้นมีสติไว้ดีกว่านะ


Blue Lagoon มีห้องน้ำ

ถ้าใครเคยอ่านรีวิวไอซ์แลนด์น่าจะได้เห็นมาบ้าง คือตรงนี้มันเป็นที่แช่น้ำร้อนของรีสอร์ทที่คนนอกจ่ายเงินลงไปแช่ได้แต่ราคาสูงพอสมควร ไหนๆก็อยู่แถวนี้แว๊บมาดูหน่อย ด้านในมีคาเฟ่และร้านขายของเสื้อผ้าเครื่องสำอางให้ช๊อปได้เล็กน้อย

ถ้าไม่ไปแช่น้ำกับเค้าแถวนี้เดินเล่นรอบๆลากูนเค้าได้มีลาวามอสสวยๆให้เห็นด้วยโดยเดินตามทางเดินที่วนลูปกลับไปที่ลานจอดรถ

Sand Vik (แซนด์วิค)

ขับรถออกมาจาก Blue Lagoon นิดหน่อยไปเที่ยวทะเลบ้าง หลายคนตื่นเต้นที่จะเห็นหาดทรายดำของไอซ์แลนด์นะครับแต่บอกเลยว่าหาดไหนก็ดำ ถ้าเจอหาดขาวที่ไอซ์แลนด์แล้วค่อยตื่นเต้น! วันนี้อากาศดีฟ้าสวยมาก พอแสงสีฟ้าสะท้อนในน้ำแล้วตัดกับเนินหญ้าสีเหลืองสวยจัง


Bridge Between Continents

สะพานเชื่อมสองแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือและยูเรเชีย มองดูก็อาจจะไม่รู้ว่าคืออะไรแต่พอได้รู้ที่มาของหน้าผาสองฝั่งนี้แล้วดูยิ่งใหญ่ขึ้นมาเลยครับ เรายังลงไปเดินในร่องระหว่างแผ่นเปลือกโลกได้ด้วยนะ

ท่าถ่ายรูปแนะนำ ท่าเต้นเพลงไม่ธรรมดา โดยไชยา มิตรชัย


รอบๆสนามบิน Keflavik มีห้องน้ำที่พิพิธภัณฑ์

วนกลับมาใกล้ๆ Keflavik Airport เพราะว่าจริงๆแล้วมีเพื่อนร่วมทริปตกค้างมาถึงช้ากว่าวันนึงเลยได้ตามเก็บที่เที่ยวแถวนี้ระหว่างรอได้หมดเลยโดยเริ่มที่พิพิธภัณฑ์ไวกิ้งที่ด้านในมีประวัติศาสตร์ของไอซ์แลนด์ในยุคไวกิ้ง มีเรือไวกิ้งจำลองที่ถูกใช้แล่นไปถึงแคนาดากับนิวยอร์คมาแล้ว นอกจากนี้ยังมีเกม VR ให้ได้สัมผัสกับสนามรบของชาวไวกิ้งในอดีตให้เล่นขำๆด้วยนะ

Holmsberg lighthouse หรือประภาคารโฮมส์เบิร์กอยู่ห่างไปนิดเดียว มองออกไปเห็นผาสูงริมทะเลกับประภาคารสีส้ม

Garður Old Lighthouse น่าจะออกเสียงว่า การ์ดรึ แบบกระดกลิ้นรัวๆ 555 เป็นประภาคารอยู่แหลมสุดของ Reykjanes มีประภาคารอยู่สองหลังเก่าใหม่

วันแรกวอร์มอัพกันแล้วพร้อมสุดๆสำหรับขับรถทางไกล หลังจากรับสมาชิกคนสุดท้ายคืนนี้เราจะขับรถเข้าสู่ Snæfellsnes ในไอซ์แลนด์ตะวันตกกันเลย!

 


Day 3 Snæfellsnes (สนาฟเฟลสเนส)

คืนก่อนเราพักกันในเมือง Grundarfjörður ซึ่งอยู่ใกล้ที่เที่ยวฮิทๆหลายอันเลย ระหว่างขับรถมาฝนเริ่มตกเลยล้มเลิกแผนออกไปหาแสงเหนือแล้วกินข้าวกินปลาพักผ่อน เช้านี้เลยฟิตเต็มที่ออกตั้งแต่ก่อนอาทิตย์ขึ้น


Kolgrafarfjördur Viewpoint (คล-กรา-ฟา-ฟยอด-ดึ)

ขับรถออกมาจากที่พักตื่นเต้นมากเลยครับเพราะคืนก่อนมืดตึ๊บไม่เห็นอะไรเลย ถนนหนทางใน Snæfellsnes สวยงามมากจริงๆไม่ว่าจะโค้งสวยงาม แนวเขาสลับกัน ที่ประทับใจสุดๆคือสีเขียวอ่อนของมอสและสีส้ม สีแดงของหญ้าในฤดูใบไม้ร่วงที่ตัดกันพอดิบพอดี ริมๆทางบางทีก็มีแกะเดินกันดุ๊กๆด้วย ภาพที่เห็นนี้ถ่ายเวลาใกล้เคียงกันนะครับแต่หันกล้องคนละทางก็ได้สภาพอากาศที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวได้เลย นี่แหละไอซ์แลนด์ดินแดนอากาศแปรปรวน

จุดชมวิวของเราอยู่ริมน้ำ เช้านี้เมฆเยอะเอาเรื่องเลยครับเลยไม่เห็นเขาทั้งหมด แต่เห็นแบบนี้แล้วมันยิ่งสวยเข้าไปใหญ่ ดูแล้วลึกลับนุ่มนวลน่าค้นหา

ยืนรออยู่พักนึงครับเผื่อว่าเมฆจะจางลงบ้างให้เมฆที่โดนแสงอาทิตย์ได้ออกมาบ้างแต่กลับได้ภาพที่ทำให้ใจเต้นยิ่งกว่าคือมีนกบินมาสองตัวคู่กันพอดี เงา sillouette ของนกตัดกับหมอกขาวๆบินคู่กับเนินเขาสีสันสดใส จังหวะดีมากๆ เช้านี้เป็นเช้าที่ดีมากๆ

iceland snaefellnes autumn

แสงยังสวยอยู่แบบนี้ขับรถไปเที่ยวต่อเลยเถอะ ตรงนี้บอกตรงๆว่าไม่ได้วางแผนมาเยอะแล้วมาขับรถตระเวนไปมาตรงไหนสวยจอดรัวๆไปเลยจ้า


Lava Rocks Formations ริมถนน

ข้างทางถนนสาย Snæfellsnesvegur มีทุ่งหินลาวาแหลมคมรูปร่างพิลึกพิลั่นปกคลุมด้วยลาวามอสสีเขียวยาวไปไกลสุดสายตา เห็นแล้วมันรู้สึกเหมือนเราไปอยู่ที่ดาวอื่นอะไรไม่รู้ ถ่ายรูปตรงนี้สนุกมากเพราะมี foreground ให้เล่นเยอะมากโดยให้ภูเขาไฟเตี้ยๆด้านหลังเป็น background

ถ้าดูรูปสุดท้ายจะเห็นเมฆมันคลืบคลานเข้ามาแล้ว อากาศเปลี่ยนได้ทุกชั่วโมงจริงๆแต่เห็นแบบนี้แล้วภาพยอดแหลมมากมายของภูเขาทะลุเมฆหมอกออกมามันได้อารมณ์

Selvallafoss (เซลวัลลาฟอส)

พอฝนเริ่มตกเราก็ว้าวุ่นกันเลย คิดอยู่ว่าจะไปเที่ยวต่อหรือจะกลับไปรอฝนหยุด แต่ฝนจะหยุดตอนไหนก่อน ด้วยความฟิตของชาวคณะเราเลยตัดสินใจไปเที่ยวต่อแบบเปียกๆ ตอนไปเสื้อกันฝนก็โคตรจะไม่เหมาะกับสถานที่ลมแรงสุดท้ายยอมเปียกไปเลยจ้า สงสารก็แต่กล้องที่เปียกปอนแต่น้องทำงานได้ดีมากตลอดทริปไม่งอแงเลย

snaefellness, iceland, ไอซ์แลนด์, autumn, fall, ออทั่ม
ทุกคนสปิริตแรงกล้ามาก ปลื้มใจ

น้ำตก Selvallafoss เป็นน้ำตกเล็กๆครับแต่ว่าความโดดเด่นคือสามารถเดินเข้าไปด้านหลังน้ำตกได้คล้ายๆกับอีกน้ำตกทางภาคใต้แต่อันนี้คนน้อยมากไม่ต้องไปแย่งกะคนอื่นถ่ายรูปเลยมีแต่เรากลุ่มเดียว


ทางเดินจะงงๆหน่อยแต่ไม่ต้องกังวล จอดรถแล้วเดินลงเนินไปเรื่อยๆจนเจอริมผาจะเห็นน้ำตกได้เอง ระหว่างทางใบไม้ใบหญ้าสีสวยด้วยนะ

หลังจากนั้นทางเดินอาจดูเปียกและลื่นแต่ถ้าใส่รองเท้าถูกต้องจะเกาะหนึบดีมากครับ แต่ถ้าเป็นน้ำแข็งไม่ได้นะครับผม

อ่ะรอฝนหยุดอยู่ใต้น้ำตกแต่มันไม่มีทีท่าเลยออกไปฝ่าฝนขับรถไปกินข้าวละกัน แล้วฝนมันก็หยุดตอนกินข้าวพอดีเหมือนฟ้าแกล้งกัน อาหารแถวนอกเมืองเค้าก็จะเน้นไปทางพวกเบอร์เกอร์ ฟิชแอนด์ชิป พวกนี้ล่ะครับ ใครชอบกินข้าวก๋วยเตี๋ยวก็ต้องทนนิดนึงนะครับเวลาเที่ยวยุโรป


Grundarfoss (กรุนดาฟอส)

กินข้าวอิ่มแล้วเข้าซุปเปอร์ตุนของกินซื้อหนมกรุบกรอบแล้วไปเที่ยวต่อที่ Grundarfoss การไปจะงงๆเล็กน้อย

  1. ปักหมุดที่จอดรถตรงนิ https://maps.app.goo.gl/NsFX38Tkmy8M4X8FA

  2. ทางเข้ามีประตูปิดอยู่ซึ่งสามารถเปิดประตูเล็กด้านข้างได้ เปิดแล้วปิดด้วยเดี๋ยววัวควายเค้าหนี

  3. เดินเลาะรั้วไปเรื่อยๆจะเจอลำธารต้องเดินข้ามไปแล้วเลาะรั้วต่อไปเรื่อยๆก็จะใกล้น้ำตกมากขึ้น จะเข้าไปใกล้แค่ไหนตามใจปราถนา

น้ำใสไหลเย็นสวยมากเลยครับ โดยส่วนตัวผมชอบสถานที่ที่มีน้ำใสไหลผ่านมากๆเลย บางทีก็มีความอยากลองวักน้ำมากินแต่ต้องมั่นใจจริงว่าดื่มได้ปลอดภัยก่อนนะ น้ำตกสูงมากเลยครับนอกจากอันซ้ายใหญ่ๆแล้วยังมีอันเล็กๆทางขวาด้วย ไอซ์แลนด์นี่เป็นประเทศแห่งน้ำตกจริงๆ

มองไปข้างๆมีภูเขาสูงใหญ่อยู่ด้วยแต่อากาศมืดครึ้มยังอยู่ ตอนนี้ลมเริ่มแรงๆแล้วนะซึ่งบริษัทเช่ารถก็ส่งอีเมล์มาเตือนว่ามีพยากรณ์พายุเข้าและลมจะแรง เวลาขับรถต้องระวังและเปิดประตูต้องจับมั่นๆไม่งั้นลมอาจพัดประตูหักได้เลยนะ แต่ส่วนใหญ่ที่เจอคือลมพัดจนเปิดประตูไม่ออก 555


ไม่เป็นไรใจยังสู้ ขับรถไปดูที่เที่ยวอื่นอีก ลองไปดูที่ชายหาด Klausisdóttirsfjara ใกล้ๆดูปรากฎว่าอากาศแถวนี้แย่ยับเยินกว่าเดิมอีก จริงๆเราก็กะจะขับรถไปเที่ยวต่อทางทิศตะวันตกแต่ดูสภาพแล้วทุกคนเห็นด้วยว่าควรถอยแล้วล่ะ


Kirkjufellsfossar

ถอยกลับมาใกล้ที่พักแล้วแต่มันพลาดตรงนี้ไม่ได้จริงๆถึงแม้ฟ้าจะหม่นลมจะแรง เขา Kirkjufell เป็นแลนด์มาร์คหลักๆของที่นี่เลยแล้วเคยออกมาในซีรีย์ Game of Thrones ด้วย ที่จอดตรงนี้มีค่าจอด 700 ISK หรือประมาณ 180 บาท แต่ถ้าไม่อยากจ่ายสามารถจอดริมทางได้แต่ต้องเดินเพิ่มนิดหน่อยครับ โหขนาดฟ้าเน่าๆยังสวยเลยเนอะ น้ำตกเค้าไม่ใหญ่มากครับแต่รวมกับเขาข้างหลังแล้วมันช่างลงตัว คนเยอะมากเลยนะครับเพราะฉะนั้นเลยต้องมาลบด้วย Photoshop AI Remove Tool เพราะตรงนี้ลมแรงมากเลยใช้ขาตั้งลำบากเอามาซ้อนหลายๆใบเพื่อลบคนได้ยาก

เดินขึ้นเดินลงเข้ามาใกล้น้ำตกได้ด้วยนะครับ เลือกมุมที่ชอบได้เลยให้คุ้มค่าจอด คืนนี้เราเป็นอันต้องเลิกเร็วเพราะฝนตกหนักมากขึ้น ไว้คืนนี้นอนฝันว่าพรุ่งนี้ฝนจะเลิกตก

 

Day 4 Snæfellsnes ต่อ Geysir และ Gullfoss

ตื่นขึ้นมาแล้วก็ขำเลย แต่เป็นขำทั้งน้ำตาเพราะฝนยังตกอยู่แถมลมแรงมากกกก แบบชีวิตนี้ไม่เคยเจอลมแรงขนาดนี้มาก่อน มันเริ่มขึ้นแล้วทริปผู้ประสบภัย ขอบคุณสมาชิกทริปทุกคนที่คอยผลัก(กด)ดันว่าเราต้องไปเที่ยวต่อ! วันนี้ต้องขับรถเยอะข้ามเมืองด้วยนะ


Lóndrangar Viewpoint (ล๊อนดรานกา)

ระหว่างทางที่ขับมานี่ฝนและหมอกมีมาตลอดแถมบางช่วงหมอกหนาจนมองไปข้างหน้าได้ไม่กี่เมตรเอง ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็ขับช้าๆเปิดไฟหน้านะครับ พอถึงที่จอดรถแล้วฝนตกหนักเลย นั่งทำใจบนรถกันซักพักแล้วลงไปใส่เสื้อกันฝนที่ไร้ประโยชน์เพราะมันเป็นแบบที่พร้อมจะโบยบินไปกับสายลม ตรงนี้เลยตัดสินใจไม่เอากล้องลงไปเพราะฝนแรงมากเลยยังไงหน้าเลนส์เปียกโชกถ่ายไม่ได้แน่นอน ได้ใช้แค่มือถือพอเพราะอุตส่าห์ซื้อ Xiaomi 13 Ultra ที่มีกล้องพัฒนาร่วมกับ Leica มาใช้ เอามาลองฝีมือหน่อย

สภาพเสื้อกันฝนนี่ยังกะหนังซุปเปอร์ฮีโร่

มารอบนี้เลยได้ดูจากจุดชมวิวอย่างเดียวเลยเพราะว่าเดินลงไปริมผาไม่ได้จริมๆกลัวลมพัดตกเขาแท้ๆ ถ้าใครมีโอกาสควรเดินลงไปดูใกล้ๆกับแท่งหินแล้วเอารูปมาฝากบ้างนะครับ

londrangar iceland

Arnarstapi มีห้องน้ำในคาเฟ่

เป็นหมู่บ้านประมงทางใต้ของ Snæfellsnes เป็นที่เที่ยวแบบเดินดูริมผา ที่จอดฟรีเลยจอดตรงไหนก็ได้เพราะทางเดินวนเป็นลูป ตรงที่จอดรถจะมีรูปปั้นอะไรก็ไม่รู้ตั้งอยู่ชื่อว่า Bárður Snæfellsás Statue จากตรงนี้ หลังจากนี้ก็เดินเรื่อยเปื่อยได้ตามสะดวกเลย

ริมผาจะมีหินรูปร่างหน้าตาแปลกๆเกิดจากการกัดกร่อนจากคลื่นลมทะเลให้เดินดูท่ามสายฝน มีแท่งหินบะซอลต์ 6 เหลี่ยมสูงใหญ่ทั้งแนวผาเลย

ไหนทุกคนคิดยังไงบ้างกับภาพที่ถ่ายโดย Xiaomi 13 Ultra ถ้ามันดีนักจะได้ไม่ต้องแบกกล้องไปเที่ยว!

Rauðfeldsgjá Gorge

ที่ Arnastapi มีร้านข้าวเยอะก็เลยรีบกินซะก่อนเลยเพราะเดี๋ยวจะต้องขับรถทางไกล กินข้าวแล้วก็ขับรถมุ่งสู่จุดหมายถัดไป ระหว่างทางก็มองเห็นคนจอดรถเต็มเลยแล้วมองเข้าไปเห็นเป็นหน้าผาสูงมากแล้วมีคนเดินเข้าไปในหุบเขาด้วย เห็นแล้วมันอดสงสัยไม่ได้เลยจอดเดินเข้าไปดูบ้าง ทางเดินไม่ยากแต่มีขึ้นเนินเล็กน้อยครับผม

หน้าผาเป็นก้อนหินใหญ่อลังการมากเลยแล้วยิ่งมีเมฆติดยอดผาด้วยทำให้เพิ่มบรรยากาศเข้าไปอีก

หันกลับไปก็สวยนะครับ ดูแล้วก็งงว่าเดี๋ยวเมฆครึ้มเดี๋ยวมีแดด ชีวิตมันสับสน

พอถึงด้านหน้าช่องเขาแล้วมีคิวนิดหน่อยเพราะเข้าออกได้ทีละคน เราเข้าไปนิดหน่อยเพราะว่ากลัวที่แคบ

ออกมาจากถ้ำฝนตกอีกแล้วจ้าเพราะแบบนั้นถึงเวลาขับรถทางไกลไปสู่ทิศตะวันออกตามทางของเรา การขับรถจุดนี้จะรู้สึกไม่ปลอดภัยเล็กน้อยเพราะลมพัดจนรถส่ายต้องคอยดึงพวงมาลัยกลับมา แต่ขับไปซักพักก็เริ่มชิน ถ้าไม่มั่นใจขับช้าๆไว้ปลอดภัยที่สุดครับ นานๆทีก็จะเห็นข้างทางมีรถหงายท้องอยู่เป็นเครื่องเตือนใจ


Geysir มีห้องน้ำ

ขับรถมาประมาณ 3 ชั่วโมงก็มาถึงแล้วเกย์เซอร์ น้ำพุร้อนที่เดือดปุดๆตลอดเวลามาเป็นเวลาเกินกว่าหมื่นปีแล้ว คนมายืนรอดูน้ำพุ่งกันเยอะเลยครับแล้วมันแบบรอนานอยู่นะ บางทีก็รอห้านาทีบางทีก็สิบนาทีถึงจะพุ่งออกมา บางทีก็พุ่งออกมาสูงเท่าเอวแล้วก็ต้องรอใหม่ แล้วที่ฮากว่านั้นคือพอถอดใจเลิกรอมันก็จะพุ่งแบบใหญ่โตตอนเราเก็บกล้องไปแล้ว ทุกครั้ง!

geysir iceland

แต่ยังถ่ายติดมาด้วยนะ ฟ้ากำลังสวยเลยข้างหลัง เห็นฟ้าแบบนี้หลังจากฝนตกมาทั้งวันเลยรีบพุ่งไปที่ Gullfoss กันเถอะ!


Gullfoss มีห้องน้ำ

น้ำตกนี้ใหญ่เว่อๆแบบที่จอดรถยังมีละอองน้ำ เค้าจะมีที่จอดรถชั้นบนกับชั้นล่างจอดไหนก็ได้เพราะเดินถึงกันได้หมด ตรงนี้คนเยอะมากเพราะเป็นที่ที่รัฐบาลไอซ์แลนด์โปรโมทเป็นส่วนหนึ่งของ Golden Circle เลยทำให้ Gullfoss เป็นน้ำตกที่โด่งดังที่สุดของไอซ์แลนด์


อันนี้คือดูน้ำตกจากชั้นล่างจะได้ภาพแบบใกล้ชิดกับน้ำมากกว่าแต่เดินไปใกล้ๆคงจะเปียกซ่กแน่ๆเลย

gullfoss waterfall iceland

มุมจากชั้นบนครับ ตอนมาถึงแล้วฟ้าสวยๆมันหายไปแล้วอ่ะแต่ก็มองเห็นว่าฟ้าเริ่มเปิดมากขึ้นเรื่อยๆเลยคิดว่าเอ้าพรุ่งนี้เช้ากลับมาใหม่ต้องได้แสงสวยๆแน่ๆเลย

คืนนี้เข้าที่พักแล้วเอ้ยฟ้าเปิดอยู่ออกไปข้างนอกมองเห็นดาว แล้วแอพ Aurora เค้าบอกว่า KP index 2 นิดๆซึ่งมันเป็นระดับที่ตาจะมองเห็นลางๆแต่กล้องจะถ่ายติดเลยออกไปลองซ้อมดูหน่อย ปรากฎว่าถ่ายติดจริงๆด้วย ใจชื้นๆมาเที่ยวไอซ์แลนด์อย่างน้อยมีรูปแสงเหนือแล้ว ยืนอยู่ประมาณ 10 นาทีเมฆมันเริ่มเยอะขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเลยกลับบ้านนอนโลด


 

Day 5 Gullfoss, Brúarfoss, Sigöldugljúfur, Haifoss

วันนี้ที่เที่ยวน้ำตกล้วนเลยแต่ว่าแต่ละที่ความสวยล้ำค่าแน่นอนแล้วก็ขับรถไปยากพอสมควรด้วยมาๆเล่าให้ฟัง

Gullfoss รอบสอง

คืนก่อนกะมาซ้ำอยู่แล้วเลยออกแต่เช้าเลย แต่ประเด็นคือคืนก่อนนอนอยู่เหมือนมีคนเอาไม้มาทุบกำแพงบ้าน คือลมมันแรงมากจนกิ่งไม้ฟาดกับกระจกเปรี๊ยะๆ ชะโงกหน้าออกไปดูเห็นต้นไม้นี่เอนเลยนะ แต่ตื่นแล้วขอออกไปดูหน่อย ปรากฎว่าคืนก่อนพายุหิมะเข้าเด้อ ออกมารถขาวจั๊วะถนนเค้าก็ยังไม่ได้กวาดเลยต้องขับกันช้าๆหน่อยเพราะลมแรงขนาดพัดหิมะจากพื้นขึ้นมาโดนกระจกก็ได้แหละ


พอมาถึงวันนี้จอดข้างบน เห็นแล้วสภาพอากาศดูน่ากลัวมากเพราะไม่เคยไปไหนที่หิมะเต็มๆขนาดนี้มาก่อน ลมพัดต้านการเดินมาก! หิมะหรือเกล็ดน้ำแข็งไม่รู้พัดเข้ามาฟาดหน้าเหมือนโดนข้าวสารเสก

ความคาดหวังเมื่อคืนคือเช้านี้ฟ้าใสแสงสวยแน่ๆ มาเจอกับกับจริง ที่หน้าเปียกเพราะหิมะที่ฟาดหน้าหรือน้ำตาจากความเจ็บช้ำ 555 แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยล่ะที่ผมได้เจอกับแลนด์สเคปที่มีหิมะคลุมทั่วขนาดนี้

ไม่เป็นไรนะ ชีวิตยังไปต่อ จริงๆอยากจะแนะนำที่พักด้วยถ้าใครผ่านมาแถวนี้เพราะบ้านลุงคนนี้เค้าสวยน่ารักมากแล้วมีข้าวเช้าให้กินด้วย ชื่อว่า Arbakki Farmhouse Lodge

Brúarfoss (บรูอาฟอส)

เช็คเอาท์ออกจากที่พักแล้วไปต่อกันที่ Brúarfoss อยู่ใกล้ๆกับที่พักเลย ทีนี้ถ้าเปิด Google Map หาชื่อน้ำตกแล้วมันจะพาไปผิดที่ ให้ตั้งโลเคชั่นไว้ที่ Brúarfoss Parking แทนครับ ตรงนี้เป็นที่ส่วนบุคคลเลยต้องจ่ายค่าจอด 750 isk โดยจ่ายได้ผ่านแอพ Parka เท่านั้น ตรงที่จอดจะมี QR ไว้ให้ดาวน์โหลดครับ

เดินจากที่จอดนิดเดียวก็เจอแล้วน้ำตกสีฟ้าสดใสที่มีสายน้ำตกเล็กๆเป็นร้อยๆสายซึ่งถ่ายรูปนี้จากสะพานไม้เล็กๆ จริงๆแล้วคำว่า Brúarfoss แปลว่าน้ำตกสะพานตรงๆเลยแหละ


Sigöldugljúfur

หลังจากใช้เวลานิดหน่อยแล้วแต่เวลาก็เหลือเยอะเลยเติมที่เที่ยวเพิ่มอีกอันที่เค้านับว่าอยู่บน Highland ของไอซ์แลนด์แล้วนะครับ แบบนี้แปลว่าถนนที่จะเข้าไปถึงเป็น F road ที่เข้าไปได้ต้องใช้รถ 4x4 จริงๆก็เห็นรถอื่นเข้าไปแต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุประกันจะไม่รับผิดชอบนะครับ


ระหว่างทางก็เป็นหิมะทั้งนั้นเลยเป็นภาพที่แปลกตาและสวยมากๆจากคนที่แถวบ้านไม่มีหิมะ

ถนนตรงนี้ที่เป็นเนินขึ้นลงสลับกันสวยดีเหมือนกันครับ คนขับรถก็ต้องตั้งใจขับหน่อยอย่าห่วงดูวิว ถ่ายด้วยมือถือจากบนรถยังสวยเลย ภาพสีอะไรดูแล้วเหมือนขาวดำ

ถนนก็สวยนะครับแต่ขับแล้วก็รู้สึกวังเวงเล็กน้อย พอใกล้ๆจะถึงแล้วถนนจะกลายเป็นทางกรวดแล้วความโหดคือมันขึ้นเขาสูงและชันเล็กน้อยด้วย ใครขับไม่แข็งแนะนำว่าให้ข้ามอันนี้ไปดีกว่านะครับโดยเฉพาะถ้าหิมะตกแบบนี้ ตอนขับกังวลนิดหน่อย คนขับกลัวพาคนอื่นมาเสี่ยงคนนั่งก็กลัวคนขับพามาเสี่ยง 555


ภาพนี้คือทางที่จับมาจะเห็นว่าทางไม่ค่อยชัดแล้วมีหิมะเข้ามากองบนถนนเล็กน้อย ขับช้าๆครับแล้วจะดีเอง ที่จอดจะอยู่ริมถนนเลยพอลงมาก็ให้เดินตามทางที่เค้าทำสัญลักษณ์เป็นไม้ยอดสีแดงให้เดินตามไม้นี่แหละครับจะไม่หลง ตอนที่เรามากันหิมะเยอะจริงๆจนรู้สึกกลัวหลงกลัวภัยพิบัติเล็กน้อย เลยถ่ายรูปหมู่แล้วอัพลงโซเชียลไว้เผื่อหายไปคนจะได้รู้ว่าให้มาตามหาที่ไหน 555 เป็นสิ่งควรทำก่อนไปเที่ยวเดินป่าเดินเขานะครับ

ทางเดินเข้าไปก็ไม่ยากเลยนะครับ วิวระหว่างทางก็สวยเป็นผาหินสูงแล้วมีแม่น้ำสีฟ้าสดใสด้านล่าง เห็นแล้วนึกถึงโอรีโอ


ส่วนชื่อสถานที่นี่ออกเสียงไม่ได้จริงๆจ้า แต่เค้ามีฉายาภาษาอังกฤษว่า The Valley of Tears หรือหุบเขาแห่งน้ำตา เป็นแคนยอนที่มีแม่น้ำสีฟ้าเทอควอยซ์ที่มาจากน้ำตกหลายสายตกลงมาสวยเหมือนฝันเลยล่ะ พอมีหิมะขาวๆแล้วดูเหมือนหนังจีนจอมยุทธ์ฝึกวิชาในหุบเขาหน่อยๆ

ถ่ายรูปกันจุกๆดีใจมากเลยครับที่มาที่นี่ นอกจากสวยแล้วยังทำให้ชินและหายกลัวกังวลกับการเดินในที่ๆหิมะเยอะๆด้วย


Haifoss (ไฮฟอส)

ต่อเลยๆกำลังมัน Haifoss เป็นอีกน้ำตกระดับเทพของไอซ์แลนด์ ถึงแม้จะไม่ได้อยู่บน F road แต่ถนนที่เข้าไปเป็นถนนลูกรังหลุมบ่อเต็มๆยิ่งกว่าขับรถในซอยบ้านซะอีก แล้วก็มีโอกาสที่ถนนจะมีน้ำไหลท่วมเข้ามาซึ่งข้อควรปฏิบัติคือต้องลองลงไปเดินดูก่อนว่าน้ำลึกเกินรถจะไปได้มั้ยเพราะประกันไม่รับผิดชอบถ้ารถพังตอนข้ามน้ำใดๆ ก็เลยลองไปเดินดูเลย คือชอบเล่นน้ำอยู่แล้วด้วยนะเลยได้โอกาส สรุปคือควรมีรถ 4x4 ในการไปที่นี่ ส่วนคนที่ไม่มีเค้าก็จอดรถไว้ตรงทางเข้าแล้วเดินไปซึ่งไกลและชันพอสมควรเลยล่ะ


Haifoss แปลตรงๆเลยว่า high waterfall หรือน้ำตกสูง และเค้าสูงเป็นอันดับ 4 ของน้ำตกทั้งหมดในไอซ์แลนด์ สูงมากจนน้ำฟุ้งขึ้นมาโดนบนหน้าผาด้านบนเลยต้องเช็ดเลนส์เป็นการใหญ่ แต่มันสวยอะไรเบอร์นี้แถมฟ้าเป็นใจอีกด้วย

haifoss iceland

มีเวลาก็สามารถเดินดูมุมอื่นๆได้นะครับ ถ้าใครฟิตและเวลาเยอะเดินลงไปในหุบเขาก็ได้นะ

ยืนรออยู่แป๊บนึงพระอาทิตย์ก็โผล่พ้นเมฆออกมา แล้วพอแดดส่องโดนน้ำตกก็เกิดเป็นสายรุ้งขึ้นมาทำให้ถึงกับร้องโหหหห แล้วก็กดชัตเตอร์กันรัวๆ


แค่นี้ก็ฟินแล้วคุ้มกับที่หมอนรองกระดูกเคลื่อนจากการขับรถขึ้นเขามาบนถนนหลุมๆบ่อๆ คืนนี้เราจะไปค้างในเมือง Vik แต่ยังไม่เที่ยวเพราะจะต้องย้อนกลับมาทางเดิมแล้วว่ากัน

 

Day 6 Jökulsárlón

วันนี้จองทัวร์ไว้ครับเพราะอยากจะไปดูถ้ำน้ำแข็ง แต่บอกตรงๆว่าที่จองไปมันผิดหวังมากเพราะได้มีเวลาในถ้ำน้ำแข็งแค่แป๊บเดียวแถมเดินเข้าไปแล้วนั่งเฉยๆให้ถ่ายรูปกันนิดหน่อย ไม่ได้แบบที่โฆษณาในเว็บเลยแต่เค้าบอกว่าเป็นเพราะช่วงนี้น้ำแข็งยังละลายเยอะเกินไป เพราะงั้นถ้าใครอยากไปอันนี้ก็ไปตอนหน้าหนาวจะดีกว่านะครับ อย่าไปเสียเงินไปเลยถ้าไม่ใช่ฤดูเค้า


ไม่เป็นไรก่อนจะไปถึงทัวร์เราก็เที่ยวรายทางมาเยอะอยู่ ตื่นเช้ามาฟ้าสวยเลยกดมาหนึ่งใบ เขาลูกนี้อะไรแต่แสงสวยจัง

ปลายทางของเราวันนี้คือ Jökulsárlón ที่เป็นลากูนที่น้ำแข็งจากธารน้ำแข็งแตกแล้วลอยออกมาเยอะเลย ก่อนถึงเราจะผ่านที่เที่ยวอย่าง Mossy Lava Field ที่เป็นข่าวดังในช่วงที่ผ่านมาไม่นานด้วยนะ


คืออีลาวามอสเนี่ยมันจริงๆแล้วมีทั่วเลยนะครับไม่ต้องมาดูแค่ตรงนี้ก็ได้ แต่ดูตรงไหนก็สวยดีครับคือสีเขียวแบบซีดๆตัดกับใบไม้สีเหลืองมันลงตัวดี พี่ๆในทริปบอกว่าดูแล้วเหมือนคากิโคริในร้าน After You


Jökulsárlón (โยคูลซาลอน) มีห้องน้ำ

ที่ตรงนี้เป็นจุดนัดพบสำหรับคนไปทัวร์หลายๆอย่างเช่นถ้ำน้ำแข็งหรือนั่งเรือชมภูเขาน้ำแข็ง ถ้าจองทัวร์ไว้ก็จะได้นั่งรถ Super Jeep แบบนี้เลย เพราะว่ารถธรรมดาขับไปบางที่หินคมมากจะทำยางแตกเอาได้

สารภาพว่ารูปที่ดูในถ้ำน้ำแข็งหาดีไม่ค่อยได้เลยก็เลยไม่ได้เอามาฝาก ย้ำอีกทีว่าฤดูที่เหมาะจะดูถ้ำน้ำแข็งควรไปเดือนพฤศจิกายนถึงแค่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงทัวร์จะเริ่มตุลาคมแต่มันเสี่ยงมากที่จะได้ดูแบบไม่ดูดีกว่า


ไม่เป็นไรเราได้เที่ยวลากูนภูเขาน้ำแข็งด้วย ก้อนใหญ่มากเลย เคยไปที่นิวซีแลนด์แล้วสู้ที่นี่ไม่ได้เลยล่ะ น้ำแข็งที่ลอยในน้ำก้อนใหญ่มากครับแล้วก็มีก้อนเล็กๆลอยมาเกยฝั่งด้วย บางคนก็ยกมาถ่ายรูป

นอกจาก glacier lagoon แล้วเดินออกทางทะเลจะเป็น Diamond Beach ที่เกิดจากก้อนน้ำแข็งที่แตกออกมาจาก glacier แล้วลอยออกทะเลไปไม่ทันไรคลื่นซัดกลับมาเกยหาดอีก หาดนี้สนุกดีนะครับ เวลาคลื่นซัดเข้ามาแล้วไหลกลับทะเลมีเสียงเหมือนคนปรบมือเกรียวกราวด้วย 555 คือรูปที่เห็นว่าแสงคนละอย่างนี่คือขากลับวนมาจอดแก้มือตอนฟ้าสวยอีกรอบนะไม่ต้องงง

วันนี้จบลงแล้วโดยเรานอนค้างห่างจากที่ glacier นี้ไปแค่ครึ่งชั่วโมงเพราะเช้าอีกวันก็จองทัวร์ไว้ไปเดินบน glacier แต่ไม่แคล้วได้รับอีเมลจากบริษัททัวร์ว่าต้องยกเลิกเพราะพรุ่งนี้อากาศไม่เป็นใจอีกแล้วจ้า เหมือนมันมีอาถรรพ์อากาศดีวันแย่วัน


 

Day 6 เดินทางสู่เมือง Höfn (ฮับ)

เอาล่ะๆ บริษัททัวร์บอกว่าอากาศแย่มันก็แย่จริงๆนะฝนตกทั้งคืนถึงเช้าเลย เมฆนี่ครึ้มทั่วบริเวณแต่เราไม่หวั่นหรอกนะเพราะเที่ยวลุยฝนก็ทำมาแล้ว และวันนี้ปลายทางของเราคือต้องไปถึงเมือง Höfn ให้ได้ ระหว่างทางก็จอดเที่ยวกันไปเรื่อยสบายๆเพราะมีเวลาเยอะเลยเช้านี้


Fjaðrárgljúfur มีห้องน้ำ

แคนยอนที่มีหญ้าและมอสปกคลุมเป็นสีเขียวสีเหลืองบวกกับหิมะที่ตกคืนก่อนทำให้ที่ตรงนี้มีหลายสีมากเลย ตอนมาถึงฝนตกหนักเลยครับแต่ว่าก็อยากจะไปดูให้ได้ เดินไปถึงแค่ครึ่งทางเลยถอยกลับมาก่อนเพราะฝนแรงจริงๆ กลับมาถึงบ้านแล้วถึงรู้ว่าจริงสามารถขับรถไปใกล้ๆยอดเลยก็ได้นะ


Lómagnúpur Scenic Spot ริมถนน

เป็นเขาใหญ่มากเลยติดกับถนนใหญ่จอดรถข้างทางก็เจอเลยไม่ต้องเหนื่อย ได้ภาพฟ้าครึ้มดูดุดันมาด้วย


Svartifoss มีห้องน้ำ

น้ำตกนี้เป็นอะไรที่คิดอยู่ว่าจะเอามาเล่าให้ฟังดีมั้ยเพราะว่าเดินไปไม่ถึงจ้า ไม่ใช่เดินไม่ไหวหรือเดินยากนะแต่พายุหิมะเข้าหนักมาก คือลมแรงเหมือนมีคนผลักไม่ให้เดินเข้าไป น้ำแข็งที่ปลิวมาฟาดหน้า เลยมีแค่รูปจากมือถือให้ดูสภาพความหิมะตกหนักลมแรง


เริ่มแรกมันก็ดูสวยงามถึงจะเปียกมะล่อกมะแล่ก

แต่พอเดินไปพ้นสันเขาไม่มีอะไรมาบังลมให้อีกแล้ว ทางเดินก็จะเป็นแบบนี้

นั่นและครับพอเดินไปถึงยอดแล้วเห็นน้ำตกอยู่ลิบๆแต่ดูสภาพลมแล้วบอกตรงๆกลัวลมพัดตกเขาตายนะ เพราะแค่ยืนอยู่ก็ปลิวแล้ว จะไม่ปลิวต้องนั่งยองๆให้ไม่ต้านลม ขาลงลมก็ผลักออกเหมือนบอกว่าพวกเอ็งออกไปได้แล้ว

ไม่เป็นไรนะเหมือนเดินลงไปสัมผัสว่าพายุหิมะเป็นแบบไหน เสื้อกันฝนก็เอาไม่อยู่เด้อเสื้อข้างในก็เปียก

Fjallsárlón Glacier Parking มีห้องน้ำในร้านอาหาร

ที่ตรงนี้มาจอดเพราะว่าทัวร์เดินบน glacier โดนยกเลิกเลยอยากมาดู glacier ใกล้ๆบ้างอ่ะ ลมแรงแบบปลิวๆเสื้อปลิวหมวกปลิวหยิบอะไรออกมาก็ปลิว 555

หลังจากนี้ก็ขับรถยาวๆเลยมีจอดแวะตามทางถ่ายรูปสวยๆบ้างพึ่งสังเกตเห็นว่าถนนเค้ามีสัญลักษณ์รูปแกะด้วยให้คนระวังน้องข้ามถนน น่ารักจริ๊ง

คืนนี้เราจบลงที่เข้าซุปเปอร์เมือง Höfn ทำกับข้าวกินเข้านอนไปเลย แนะนำที่พัก Guesthouse Dyngja เลยครับ บ้านใหม่ครัวอุปกรณ์ครบโลเคชั่นดีใกล้ท่าเรือ

 

Day 7 ท่องเที่ยวรอบเมือง Höfn (ฮับ)

เอาล่ะทุกคน หลังจากฝ่าฟันพายุหิมะและฝนเมื่อวานวันนี้เหมือนฟ้ามีตาให้เราได้เที่ยวอย่างสงบ วันนี้ตื่นแต่เช้าแล้วไปลุยที่เที่ยวกันให้ครบตุนไว้ก่อนเผื่อฝนตกอีก


Stokksnes (สโต๊กสเนส) มีห้องน้ำ

ตรงนี้ถ้าไม่ได้มานี่มันเหมือนไม่ได้มาเที่ยวไอซ์แลนด์เลยนะครับ เพราะเป็นมุมมหาชนแท้ๆของ Vestrahorn ก่อนจะขับรถเข้าไปต้องจ่ายเงินซื้อตั๋วก่อนราคา 900 ISK ต่อรถหนึ่งคันนะครับ จ่ายตรงคาเฟ่หน้าทางเข้าเลย


ขับเข้าไปสุดทางเลยครับจะเป็นถนนทรายสีดำ สองข้างทางก็จะเป็นสันทรายเยอะๆเลยมีหญ้าสีเหลืองบนสันทรายพวกนี้ตัดกับสีท้องฟ้า เดินดูแค่ตรงนี้ก็มี foreground ให้เล่นอย่างเยอะแล้ว ง่ายๆเลยผมมองหาแนวทรายที่มีลายพุ่งเข้าไปหาภูเขา หรือดูหย่อมหญ้าที่นำไปหาภูเขาด้านหลัง

ถ่ายรูปกับหญ้าแล้ว 555 เดินลงไปตรงหาดก็สวยมากเช่นกัน คลื่นที่ซัดเข้ามาเกิดเป็นเงาสะท้อนภูเขา ฝนไม่ตกแล้วครับแต่ลมยังแรงอยู่จนพัดทรายปลิวไหลเลื้อยเหมือนงูเลย

เช้านี้ฟ้าเปิดจริงนะน้ำสะท้อนสีฟ้าตัดกับหญ้าสีเหลืองสีสดใสทำจิตใจเบิกบานหลังจากเจอพายุมา

ไหนๆเสียเงินเข้ามาแล้วตรงก่อนทางออกจะมีสถานที่อย่าง Viking Village Prop For Movie ที่เค้าว่าเป็นฉากถ่ายหนังเกี่ยวกับไวกิ้งทิ้งร้างอยู่ จริงๆก็ไม่รู้หนังเรื่องอะไรแล้วก็ไม่อินด้วย แต่จ่ายเงินมาแล้วอ่ะ

เที่ยวตอนเช้าแล้วกลับบ้านไปกินข้าวก่อน ระหว่างทางมีฟาร์มม้าเยอะเลย จอดรถจะถ่ายรูปกับม้าหน่อย ลมแรงมากจนม้าผมปลิวไสว


พอดีใช้เลนส์ซูมอ่ะเลยเห็นแต่ไกลๆ น้องม้าเดินมาใกล้ๆเราก็ไม่รู้พอถอนกล้องออกเห็นม้าเต็มหน้าตกใจร้องกรี๊ดเลยจ้า สงสารน้องเพราะตกใจเรากรี๊ดจนเดินหนีไปเลย 555

กินข้าวแล้วไรแล้วเราเลยพากันขับรถไปสู่ทิศตะวันออก ไม่รีบไม่ร้อนเรื่อยเปื่อยเพราะวันนี้เน้นดูที่สวยๆใช้เวลาเยอะๆ


Skútafoss (สกูตาฟอส)

น้ำตกเล็กๆข้างทางหลักเดินไม่เยอะเลยครับ แต่คราวนี้ใช้เวลานานมากเพราะลมที่พัดมาตามช่องเขาเหมือนมันเป็นช่องเล็กๆทำให้เพิ่มความเร็วลมเข้าไปอีก ตอนถ่ายรูปนี้กลัวตกหน้าผาเน่อ

skutafoss iceland

Hvalnes Nature Reserve Beach (ฮวาลเนส)

พอเริ่มบ่ายๆแล้วก็เลยไปต่อกันเลย ไอซ์แลนด์นี้ตอนบ่ายสองบ่ายสามแสงก็สวยแล้วอ่ะ แบบถ้าอยู่บ้านเราต้องรอห้าโมงนู่นนะแดดถึงจะเลิกแข็ง ส่วนที่ตรงนี้เป็นแอ่งน้ำที่มีนกมีสัตว์อะไรมาอาศัยหลบคลื่นลมทะเลที่แรงๆ ตรงนี้มีนกและหงษ์อยู่หลายร้อยตัวเลยครับแล้วบางทีเค้าก็พากันบินเป็นฝูงและมี backdrop เป็นภูเขา เหมือนสวรรค์เลยถ้าไม่นับลมแรง

หงษ์นี่เวลาเราเดินเข้าไปเค้าจะว่ายน้ำหนีนะไม่เหมือนพวกที่อยู่ในเมืองวิ่งหาคน เพราะแบบนั้นเลยต้องใช้เลนส์ส่องจากไกลๆ


Lækjavik (แลคยาวิค)

พอขับรถโค้งพ้นแนวเขามาเท่านั้นก็จะเห็นความพิโรธของธรรมชาติด้วยถนนตรงนี้เป็นถนนริมเขาเห็นเลยว่าคลื่นซัดเข้ามาแรงมากขนาดปิดหน้าต่างรถยังได้ยินเสียงโครมครามของคลื่น ไม่พอลมที่พัดจากแผ่นดินออกทะเลก็แรงจนคลื่นโดนซัดกลับไปอีกทาง เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยล่ะ

iceland laekjavik

คลื่นที่ซัดเข้ามาที่โขดหินอย่างรุนแรง!


Hvalnes Lighthouse

จริงๆไม่ได้มาดูประภาคารนะแต่ตรงนี้เป็นมุมภูเขา Eystrahorn เหมือนเป็นเขาคู่แฝดกับ Vestrahorn ที่เราไปมาเมื่อเช้านี้ ถ่ายรูปคู่กับรถคันเก่งที่พาเราไปทุกแห่งหนหน่อย

eystrahorn iceland krossanesfjall

เดินเล่นได้รอบเลยครับเป็นบริเวณใหญ่มากแล้วมันก็มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะด้วย จริงๆอยากได้แบบมีเงาสะท้อนในน้ำจากน้ำขังด้วยนะแต่ลมแรงจนน้ำเละตุ้มเป๊ะ

เดินมาจะเห็นโขดหินมีคลื่นอ่อนๆเลยลองหนึ่งใบ อยากได้แบบ long exposure ครับแต่ลมแรงเลยใช้วิธีถ่ายบนขาตั้งหลายๆใบแบบ continuous shooting mode เพื่อที่จะเอามาต่อกันใน Photoshop ออกมาเหมือนใช้ฟิลเตอร์ long exposure เลย ทีนี้ถ้าตรงไหนสั่นก็ใช้ auto-align tool ให้เค้าหายสั่นได้

eystrahorn iceland krossanesfjall

ด้านบนก็จะเห็นเส้นน้ำสายตาจากหินบนพื้นที่ชี้ไปที่ภูเขาด้วย อีกหนึ่งใบ ใช้เทคนิค long exposure เดียวกันครับ ตรงนี้ลมแรงถ้าไม่จับกล้องล้มเลยนะ

มีทั้งฟ้าสวยและมีเขาติดอยู่หลังเมฆสร้างบรรยากาศให้เห็นความใกล้ไกลดีมาก หันหลังกลับมาเจอประภาคารกับแอ่งน้ำ เลยคิดว่าได้รูปแล้วกลับกันเถอะ คือระหว่างเดินกลับไปที่รถเก็บกล้องควักกล้องประมาณ 5 รอบเพราะเดินไปแล้วสวยอยู่เรื่อยอ่ะ

เพิ่มอีกใบแสดงความใหญ่ของเขาด้วยการเทียบกับคนตัวเล็กๆกับบ้านหลังเล็กๆ

eystrahorn iceland krossanesfjall

พอจะออกรถเท่านั้นแหละมองไปทางทิศตะวันตกก็ต้องร้องว้าว จอดรถแล้วควักกล้องอีกครั้ง

eystrahorn iceland krossanesfjall

นอกจากพระอาทิตย์ตกฟ้าระเบิดแบบลุกเป็นไฟแล้วยังมีฝูงนกบินกลับบ้านให้รู้สึกถึงความใกล้ชิดธรรมชาติความได้พักผ่อนจิตใจ คืนนี้คืนเดียวเยียวยาชีวิตจากการทำงานมาทั้งปี ขอบคุณที่มาอยู่ถูกที่ถูกเวลา

แถมอีกมุมก่อนกลับไปกินข้าวที่บ้านพัก มุมนี้เรียกว่า Naustin í Papafirđi สำหรับเสิชบน Google Map


ยังๆคืนนี้ยังไม่จบ เห็นรูปตอนเย็นแล้วรู้เลยนะว่าฟ้าเปิด สองทุ่มกินข้าวเสร็จออกมาดูหน้าบ้านเห็นดาวแปลว่าคืนนี้มีสิทธิ์ ในแอพ Aurora บอกว่าจะมี KP 3 สามารถเห็นด้วยตาเปล่าเป็นแถบสีเทาๆบนฟ้า เลยลองขับรถไปดูเล้ย เวลาออกมาก็อย่ามัวจ้องแต่แอพเพราะผมผู้เป็นคนขับและควรโฟกัสที่ถนนกลับเป็นคนเห็นอีแถบสีเทาที่ว่านี่ตอนขับรถอยู่ หาที่จอดแทบไม่ทันและภาพที่ได้มา


พอได้แบบนี้แล้วทุกสมาชิกในคณะทัวร์เราก็เลยต้องกรี๊ดกราดวิ่งหากล้องหาโทรศัพท์กันให้ควั่ก ในที่สุดก็ได้เห็นกันเต็มๆแล้ว ด้วยตาเปล่าก็สามารถเห็นเส้นแสงบนฟ้าได้เลยด้วยนะ น้ำตาไหลหลังจากรอมานาน ถ่ายมุมนี้ได้หน่อยก็เลยลองหามุมอื่นบ้าง ปรากฏว่าได้แจ็กพ็อตมีหางๆทางช้างเผือกด้วยแน่ะทุกคน

แสงเหนือนี่เค้ามาไวไปไวใช้ได้เลย เดี๋ยวแรงเดี๋ยวอ่อนแล้วเดี๋ยวก็หายไปแล้ว คือก็ไม่รู้ว่าเพราะมันแรงแค่ KP index 3 รึเปล่านะ ใครมีความรู้ประสบการณ์ดีกว่าผมมาเล่าให้ฟังได้นะครับ

 

Day 8 ย้อนทางเข้าเมือง Vik

เมื่อวานมีหลายสิ่งเกิดขึ้นแถมกลับมาถึงบ้านแล้วมีแมวใครไม่รู้มานั่งในบ้าน น้องน่ารักแถมเชื่องมากเลยเล่นกับแมวจนดึกดื่น เช้านี้เราเลยสบายๆแต่มันตื่นเช้ามาหลายวันก็เลยตื่นเองอยู่ดี ทีนี้เลยไปเดินเล่นหน้าที่พักดูพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆหน่อย

พอออกไปแล้วเราก็มีแวะซ่อมบางสถานที่เช่น Diamond Beach ที่ลงรูปให้ดูแล้ว แต่ที่หลักๆเลยที่ไปคือ


Múlagljúfur Canyon

เป็นเส้นทาง hiking ไม่ไกลจาก Jökulsárlón Glacier Lagoon และใช้เวลาเดินไม่เยอะนะถ้าไม่มีหิมะตก วิธีไปก็แค่ขับตามแผนที่พอเจอที่จอดปั๊บจะเห็นทางเดินที่มีสัญลักษณ์เป็นไม้ยอดสีเหลืองปักตามทาง คือไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะต้องมาเดินท่ามกลางหิมะเลยเพราะดูรูปตอนวางแผนนี้เขียวชะอุ่ม 555

ตามทางมีน้ำแข็งแท่งแหลมๆกับน้ำแข็งก้อนๆห่อหุ้มลูกไม้ใบหญ้าน่ารักดีนะครับ พอเดินไปซักพักหันหลังกลับมาเห็นภาพมุมกว้างของ Glacier ที่ขับผ่านมาด้วย

เดินช่วงแรกๆก็สบายๆดีแต่มันจะมีจุดนึงที่ทางลงค่อนข้างชันซึ่งถ้าทางไม่เปียกหรือเป็นน้ำแข็งมันก็เดินได้อยู่แหละแต่ว่าวันนี้หิมะหนาพอถูกเดินเหยียบซ้ำๆมันกลายเป็นน้ำแข็งไปซะ ฝรั่งเรียกว่า black ice คือสีมันเหมือนดินเพราะน้ำแข็งมันใสมองดูยาก เวลาเดินให้ระวังอย่าไปเหยียบเข้า ฝรั่งบางคนเค้าก็มาพร้อมเลยคือมี crampon ซึ่งเป็นอุปกรณ์ใส่ร้องเท้าที่มีเหล็กไว้จิกน้ำแข็งจะได้ไม่ลื่น เราก็ตะกายลงมาสี่ขาแต่ก็รอดปลอดภัยอยู่นะ

พอถึงจุดนี้คนไปต่อกลุ่มเราเหลือ 2 คนเองที่เหลือไม่ต้องการเอาชีวิตไปทิ้งเหมือนเราเพราะถ้าลื่นพลาดก็อันตรายอยู่ 555 อ่ะโบกมือลาแล้วกลับไปรอที่รถกันเถอะ

สำหรับเราคนเดินต่อก็ต้องเดินขึ้นเนินเหนื่อยพอตัว ลื่นด้วยและบางจุดมีทางเดินกว้างเท่าตัวคนหนึ่งคนเอง เดินมาซักพักเจอกับน้ำแข็งแหลมๆเพียบเลย เห็นแล้วมันหนาวแต่คนเดินนี่เหงื่อแตกแล้ว

มีเทคนิคการเดินในสถานการณ์แบบนี้ที่เราเรียนรู้กันหน้างานเลยคือให้ไปเดินตรงที่หิมะมันยังฟูๆเพราะเหยียบแล้วเท้าจะจมแต่ก็ไม่ลื่นไถล มองหาไว้แบบในภาพ ถ้าลื่นอย่าไปเหยียบซ้ำรอยเท้าคนอื่น ถึงทางจะดูชันแต่หิมะฟูๆปลอดภัยกว่าน้ำแข็งลื่นๆแน่นอน!


จุดหมายของเรามาถึงแล้วคือวิวแคนยอนกับยอดเขากับน้ำตกเส้นเล็กๆอยู่ผ่ากลางพอดี

ด้านขวาของแคนยอนยังมีน้ำตกสูงๆอีกอันด้วย ซึ่งน้ำตกนี้เริ่มแข็งแล้วและมันจะมีเสียงน้ำแข็งแตกตกลงมาโครมครามเป็นช่วงๆด้วย

สวยคุ้มเหนื่อยเลยนะครับ นั่งอยู่บนแคนยอนจนหายหอบแล้วพากันเดินกลับ ระหว่างทางก็ได้เก็บภาพเล็กๆน้อยๆของพืชพันธุ์แถวนั้นมาบ้าง สีของฤดูใบไม้ร่วงไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ

กลับลงมาได้แล้วก็โล่งอกเลยนะครับเพราะทางเดินมันดูแบบอะไรก็เกิดขึ้นได้มาก แล้วก็ได้แต่คิดว่าทำไปได้ไงวะเนี่ย มือที่แหกตั้งแต่ต้นทริปก็ยังไม่หายเลยนะ ใช้เวลาไปทั้งหมด 4 ชั่วโมงแต่เป็นเพราะหยุดถ่ายรูปเยอะและมีหลายจุดขยับได้ช้าเพราะกลัวลื่น คนทั่วไปน่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเองมั้ง


หลังจากนี้ก็แวะรายทางไปดูลาวามอสที่ลงรูปไว้ให้ดูแล้วสุดท้ายพอถึงเมือง Vik เลยไปรอถ่ายภาพยามเย็นที่ Cemetery Vik ไม่ต้องงงว่าไปสุสานทำไมเพราะมันที่จุดวิวสวยของเมือง Vik ใครหนอช่างสรรหา

เห็นฟ้าแล้วคืนนี้ไม่มีพื้นที่เหลือไว้สร้างความหวังสำหรับแสงเหนือ เราได้อากาศดีมาสองวันแล้วแปลว่าพรุ่งนี้เตรียมตัวไว้เลย!

 

Day 9 เที่ยวแถวเมือง Vik ต่อน้ำตกชื่อดัง

เช้านี้แน่นอนครับตื่นมาแล้วฝนตกอยู่แล้ว ถามว่าแล้วไงคณะทัวร์นี้กลัวมั้ย หนักกว่านี้ก็โดนมาแล้ว ออกไปเที่ยวก่อนเลยแล้วค่อยกลับมากินข้าว

Reynisdrangar (เรนิสดรานกา) มีห้องน้ำ

หาดทรายดำกับหน้าผาหินบะซอลท์หกเหลี่ยมและแท่งหินในทะเล เป็นสถานที่ที่รวมความนอกโลกไว้ในที่เดียว เอาจริงๆผมก็ว่าโชคดีที่ฝนตกนะเพราะทำให้คนน้อยกว่าที่เคยเห็นในรูปเยอะเลย แต่ความลำบากคือหน้าเลนส์นี่เปียกไม่หยุดต้องคอยเช็ด ริมน้ำตรงนี้มีถ้ำอยู่เยอะเลยสำหรับพักหลบฝนให้หายเหนื่อยก่อนออกไปลุยต่อ

ต้องเดินจากทางเข้าหาดไปจนถึงแท่งหินในน้ำเดินไกลพอสมควรแถมต้องเดินกลางฝนมันทำให้รู้สึกเดินไกลกว่าเดิมอีก แต่พอมาถึงแล้วมันช่างสวยงามดูอึมครึมดูดุดันถ่ายรูปสนุกมากเลยถึงแม้จะทุลักทุเล

reynisdrangar iceland vik

สุดท้ายเช็ดเลนส์ไม่ไหวละครับเลยตัดสินใจขอพี่จ้าวชาวคณะให้ช่วยหน่อยถือกระเป๋าไว้เหนือกล้องแล้วหวังว่ามันจะช่วย ช่วยอยู่เด้อ อย่างน้อยละอองน้ำไม่เยอะเกินลบไหวใน Photoshop ได้ทั้งคลื่นกระทบหินและสายคลื่นสีขาวตัดกับหาดทรายสีดำ

เดินๆอยู่ดีๆเจอปลาหมึกเหมือนโดนคลื่นซัดกระเด็นมาบนหาดด้วย คลื่นแรงแค่ไหนเนี่ย

เปียกหนักมากทั้งคนและกล้อง ถึงเวลากลับไปกินข้าวเก็บของออกจากหอพัก ไม่รีบไม่ร้อน


Dyrhólaey (ดิโฮเล) มีห้องน้ำ

อันนี้เป็นภูเขาและหน้าผาริมทะเลที่นักท่องเที่ยวเยอะมากสุดละที่เคยเห็นมา แต่ตอนไปพายุเข้าอีกและลมแรงมากคือผมกลัวตกหน้าผาไปแล้วรั้วเค้ากันคนออกไปมันทำให้ถ่ายรูปแล้วไม่สวยเลย เลยขอข้ามไปตรง Reynisfjara viewpoint อย่างเดียวที่มีหินอยู่บนหาดทรายดำ

ขาออกมาจาก Dyrhólaey เห็นคนจอดรถดูม้ากันอย่างใกล้ชิดเลยขอไปจอดแจมด้วย คือป้าคนนึ่งเอาแอปเปิ้ลให้ม้า ม้าๆเลยมายืนเรียงหน้ากระดานกันเลย แลบลิ้นแผล็บๆด้วย


Skógafoss มีห้องน้ำ

ขับรถมุ่งทางทิศตะวันตกต่อเลยและแวะรายทางเรื่อยไปเราก็จะผ่านน้ำตก Skógafoss ที่จริงๆใครที่อยากมาไอซ์แลนด์ก็รู้จัก ไม่มีอะไรมากเลยมุมเค้าบังคับมาแล้ว พี่จ้าวคนเดิมยอมเปียกให้ได้ภาพหน้าน้ำตก


Seljalandsfoss มีห้องน้ำ

อีกน้ำตกชื่อดังคนเยอะ เยอะจนหมดสนุกและน่ารำคาญอาจจะเป็นเพราะไปเที่ยวที่แทบไม่มีคนมาหลายวัน น้ำตกนี้เค้าโดดเด่นที่คนสามารถเดินไปหลังน้ำตกได้นั่นเอง แค่นี้แหละจ้า

คืนนี้จบลงเท่านี้เองเพราะที่เที่ยวหมดแล้วแถวนี้แถมฝนเริ่มตกต่อ พรุ่งนี้เราเอาใหม่

 

Day 10 Kerid Crater และ Reykjadalur Valley

วันนี้ตื่นมาแล้วอากาศดีอยู่น้าเลยรีบออกไปเที่ยวกัน มาถึงจุดนี้เป็นเหมือนการหาที่เที่ยวตามทางก่อนจะเข้าเมือง Reykjavik

Kerid Crater

ปล่องภูเขาไฟเก่าหลายพันปีที่มีทะเลสาบอยู่กลางปล่อง ตอนแรกกะมาเดินฆ่าเวลาแต่มันสวยกว่าที่คิดไว้ซะอีก ความแปลกคือหินกรวดตามพื้นที่ปกติสีดำที่นี่มีหลากสีมากเลย เห็นแล้วนึกถึงช็อคโกแลตหิน

ที่นี่เก็บค่าเข้า 450 ISK ต่อคนแล้วเดินบนปากปล่องหรือลงไปริมน้ำก็ได้


Reykjadalur Valley

ใครมาทางนี้หาอะไรกินสามารถแวะได้ที่เมือง Selfoss ซึ่งเป็นเมืองใหญ่สุดของแถวนี้แล้วหละ หลังจากนั้นเราหาที่เที่ยวต่อแล้วสนใจจะไปที่ Reykjadalur Valley ที่เป็นหุบเขาที่มีความร้อนใต้ดินและมีแม่น้ำร้อน อ่านดูแล้วน่าสนใจเลยลองไปหน่อยละกัน


พอมาถึงแล้วปรากฏว่าต้องเดินเข้าไปประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อจะถึงจุดหมายแต่ดูทรงแล้วระหว่างทางก็ต้องสวยแน่ๆเลยลองเดินไปก่อนละกัน ทางเดินต้องขึ้นเขาไปเยอะพอสมควรแต่ทางเดินเป็นทางลาดธรรมดาไม่ต้องปีนป่ายก้อนหินอะไร แต่ก็เหนื่อยพอสมควรนะ


ช่วงต้นๆมองออกมาเห็นรีสอร์ทบ่อน้ำพุร้อน เดินไปเห็นลำธารเล็กๆอุ่นๆ พื้นน้ำเป็นสีเขียวแปลกๆ แล้วก็มีบ่อโคลนเดือดปุดๆด้วย ตกลงไปตายนะครับระวังด้วย

เดินขึ้นเขาไปนิดหน่อยก็เริ่มเห็นภูเขาลายวัวที่ตามหาแล้ว

เดินไปอีกหน่อยก็เห็นเขาลายวัวมากขึ้น แล้วก็เริ่มมีควันลอยออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนด้วย

เอ้าเดินมาชั่วโมงกว่าแล้วทำไมยังดูห่างไกล จากรูปข้างล่างเดาว่าจุดหมายมันอยู่ตรงที่ควันออกมาแล้วทางยังยึกยักขึ้นลงเขาอีกเยอะแล้วเวลาเริ่มล่วงเลย คิดว่าคงจะต้องถอยกลับตรงนี้แต่ไม่เป็นไรตรงนี้ก็สวยแล้วเขาลายวัวในฝัน

เอาล่ะคืนนี้เราจะเข้าเมือง Reykjavik แล้วเป็นเวลาสองสามวันให้ร่างกายได้พักผ่อนก่อนกลับไปทำงานใช้กรรม ไม่ขอแยกวันเที่ยวใน Reykjavik แล้วล่ะครับแต่จะลิสต์ที่เที่ยวน่าสนใจไว้ให้เผื่อใครสนใจนะ

 

Reykjavik

ทะเลสาบ Tjörnin สวนกลางเมืองที่มีหงษ์ห่านเป็ดนกนางนวลมาแฮงเอาท์กันเยอะมาก มีวิวเมืองสวยๆอยู่เยอะไว้เดินเล่นค้นหาได้เต็มที่



Hallgrimskirkja

โบสถ์ใหญ่ของเมือง Reykjavik ที่ตั้งอยู่บนยอดเนินเห็นได้แต่ไกลไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของเมือง ถ้าอยากได้รูปคนน้อยๆต้องมาแต่เช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเลยครับไม่งั้นยากมากจะให้ไม่มีคน


Cathedral of Christ the King

จริงก็อยู่นอก Downtown Reykjavik นะแต่มันใกล้ที่พักผมพอดีเลยได้เดินเล่นไปชมใกล้ๆ


Sun Voyager

ปฏิมากรรมอะไรก็ไม่รู้อ่ะแต่คนเค้าชอบมากันแล้วเดินไม่ไกลจากโบสถ์ Hallgrim ก็เลยมาด้วย 55


Rainbow Street และ Downtown Reykjavik สตรีทอาร์ท และบ้านเรือนสีสันสดใสแสบทรวง


Perlan (https://perlan.is/)เป็นเหมือนกับพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติของไอซ์แลนด์ และมีจุดชมวิวชมเมือง Reykjavik ได้ด้วย กิจกรรมด้านในก็จะมีนิทรรศการต่างและชมวีดีทัศน์แสงเหนือในท้องฟ้าจำลอง ดูประวัติภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ของไอซ์แลนด์ในสมัยโมเดิร์น เดินเล่นในถ้ำน้ำแข็งจำลอง สนใจหรือมีเวลาเหลือลองดูครับ เหมาะกับการพาเด็กๆไปมากเลย


เดินตามหาน้องแมว Reykjavik เค้าว่าคนแถวนี้ปล่อยแมวเดินเพ่นพ่านตามถนนแล้วแมวจรเค้าหน้าตาน่ารักไฮโซมากแต่เอาจริงอยู่ที่ 3 - 4 วันเห็นอยู่สองตัวเองนะ


เรื่องเล่าเพิ่มเติมถึงหายนะที่เกิดขึ้นกับคณะเราคือวันที่ต้องบินออกจากไอซ์แลนด์ไฟลท์ทั้งหมดโดนยกเลิกเพราะพยากรณ์ว่าสภาพอากาศจะเลวร้ายในขั้นที่เครื่องบินจะขึ้นลงไม่ได้เลย ทีนี้ก็มีปัญหาล่ะสิ

  1. ตั๋วเครื่องบินเชื่อมต่อจาก Copenhagen ก็ต้องถูกเลื่อน แก้ไขไม่ยากเพราะสายการบิน Full Service เค้าควรจัดการให้ แต่ได้ไฟลท์อีกทีต้องเลื่อนไป 2 วัน

  2. โรงแรมที่ต้องอยู่ต่ออีกคืน โรงแรมใกล้สนามบินโดนจองเต็มเร็วมากทำให้ต้องกลับมานอนใน Reykjavik

  3. Schengen Visa ที่จะหมดอายุก่อนวันที่ออกจากยุโรป

    1. เรื่องนี้ไอซแลนด์ไม่รับผิดชอบเพราะตอนที่อยู่ประเทศเค้ามันยังไม่เลยกำหนด ที่ Denmark ก็ไม่อยากรับรู้เพราะสาเหตุที่ออกไปไม่ได้ไม่ได้เป็นเพราะประเทศเขาอีก เราก็โดนลอยแพ

    2. สุดท้ายพอไปถึง Copenhagen แล้วเรารีบไปคุยกับ Border Police ที่สนามบินก่อนแล้วถามว่าแบบนี้ผมจะโดนจับมั้ยครับเพราะจะ overstay หนึ่งวัน

    3. ตำรวจบอกว่าไม่เลยเพราะมีเหตุผลและจะช่วยบันทึกไว้ในระบบให้เวลาวันออกจะไม่มีปัญหา

    4. วันที่ออกจริงคนในตู้ต.ม.บอกว่าเอ้าคุณทำไมออกเกินกำหนด เราก็เอาแล้วไหนบอกบันทึกไว้ให้แล้ว เลยบอกให้เค้าโทรคุยกับตำรวจให้หน่อย เค้าเลยยึดพาสปอร์ตไว้ประมาณสิบนาทีแล้วก็มาบอกว่าโอเคผ่านได้

    5. ทีนี้เราก็กังวลว่าแบบนี้จะเสียประวัติเวลาทำวีซ่าในอนาคตมั้ยนี่ เค้าก็บอกว่าก็เอาเรื่องไฟลท์โดนแคนเซิลบอกกับสถานฑูตให้รับรู้เค้าไม่ว่าหร๊อก แต่เอาจริงๆก็แอบไม่เชื่อและกังวลเพราะหน่วยงานยุโรปทำงานห่วยมากจ้า

หวังว่าเรื่องนี้จะเป็นอุทาหรณ์สำหรับใครที่ดวงดีเจอเหมือนเราจะได้จัดการอย่างมีสติ


เอาล่ะจบแล้วกับ Iceland มีทุกรสชาติทุกสภาพอากาศ ทริปนี้ทั้งประสบภัยและประสบการณ์ดีๆ ในความบรรลัยก็มีความสวยงามอยู่เหมือนกับชีวิตคนเลยนะครับ ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปมากๆที่ทำให้ทุกภัยพิบัติเป็นความตลกโปกฮา เพื่อนๆผู้อ่านอย่าลืมไปตามอ่านโพสสรุปที่เที่ยวใน Copenhagen ด้วยนะครับ อุตส่าห์ได้ไปเที่ยวตั้งวันครึ่ง (เพราะไฟลท์เลื่อน)

https://www.nopeopletravelphoto.com/post/copenhagen_2023


สุดท้ายนี้ขอขอบคุณเพื่อนๆผู้อ่านมากๆเลยที่ให้การสนับสนุนโดยการเข้ามาอ่านจนจบเพราะโพสนี้ยาวเหยียดจริงๆเพราะไม่รู้จะแบ่งตอนยังไง รักกันชอบกันฝากติดตามผลงานในอนาคตด้วยนะครับ


ดู 89 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page