
เดือนที่เดินทาง - พฤษภาคม 2023
คนชอบถ่ายภาพแลนด์สเคปคงมีสถานที่ในใจกันหลายที่และนิวซีแลนด์ต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอนนะครับ เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้เลยพาไปดูซิว่าที่นิวซีแลนด์มีอะไรให้ดูได้ชมบ้าง ผมคิดว่านิวซีแลนด์นี่เหมือนเป็นประเทศที่ถูกบริหารมาเพื่อเน้นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติสำหรับทุกคนเลยนะครับไม่ว่าจะเป็นภูเขา ป่า ทะเลสาบ ทะเล ฟยอร์ด โอ้วเที่ยวกันไม่หวาดไม่ไหว ตอนนี้เลยเขียนมาแบบตอนเดียวจบอ่านกันให้เน็ตหมดตาแฉะกันไปเลย
สำหรับคนชอบถ่ายภาพแลนด์สเคปผมเข้าใจว่าเกาะใต้นี่มีอะไรให้ตื่นเต้นกว่าเกาะเหนือเลยมาทางนี้ก่อนละกันเพราะวันลานั้นมีจำกัด ไปไหนบ้างมาดูกันที่ New Zealand South Island
Lake Tekapo
Lake Pukaki - Aoraki / Mount Cook
Lake Wanaka
Lake Te Anau
Milford Sound
Arrowtown - Queenstown
การเดินทาง - จะใช้ขับรถตลอดทางครับ ถนนโล่งเป็นส่วนใหญ่จะมีรถเยอะหน่อยก็ในเมืองอย่าง Queenstown แต่รถน้อยกว่าอยู่บ้านเราแยะ
สภาพอากาศ - เดือนพฤษภาคมที่นิวซีแลนด์จะเป็นเดือนสุดท้ายของฤดูใบไม้ร่วงก่อนจะเข้าหน้าหนาว เพราะแบบนี้อากาศหนาวเอาเรื่องเลย บางที่มีลงไปถึง 3 องศาเซลเซียสตอนเช้าตรู่
ที่พัก - ที่พักที่นิวซีแลนด์ส่วนใหญ่จะเป็นแบบโมเทลที่ขับรถเข้าไปจอดหน้าห้อง แล้วห้องจะมีเครื่องครัวให้ทำอาหารได้ ส่วนใหญ่จะห้ามทำอาหารกลิ่นแรงแต่ถ้าไม่กินทุเรียนกันก็คงไม่เป็นไรล่ะ
สิ่งที่ควรรู้ - ที่สนามบินของนิวซีแลนด์เค้าตรวจตราสิ่งของที่นำติดตัวเข้ามาละเอียดมากและของเหล่านี้เค้าแนะนำว่าให้สำแดงต่อเจ้าหน้าที่ตรงทางออกจากอาคารผู้โดยสารขาเข้าครับ ถ้าเค้าหาเจอจากการสแกนกระเป๋าหรือหมาดมเจอจะโดนปรับ 400 เหรียญนิวซีแลนด์หรือประมาณ 8,400 บาทได้ครับ
อาหาร - สุก ดิบ อาหารสด ถนอมอาหารมาแล้ว อาหารแห้ง รวมถึงมาม่าก็ต้องสำแดงด้วย
สัตว์ หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ - เนื้อ นม ปลา น้ำผึ้ง ไข่ ขนนก เปลือกหอย ขนสัตว์ หนังสัตว์ กระดูก แมลง
พืช หรือผลิตภัณฑ์จากพืช - ผลไม้ ดอกไม้ เมล็ด ไม้ ใบไม้ ผัก เห็ด ฟาง ทั้งหมดนี้รวมถึงเครื่องประดับและยาด้วย
ของอื่นๆที่มีความเสี่ยงทางชีวภาพ –ยาสัตว์ สมุนไพร เชื้อต่างๆ (เช่นจุลินทรีย์) ดิน น้ำ
อุปกรณ์ที่ใช้กับสัตว์พืช - อุปกรณ์ทำสวน เลี้ยงผึ้ง ตกปลา กีฬาทางน้ำ
อุปกรณ์ outdoor - รองเท้าโดยเฉพาะรองเท้าบูทเดินป่า เต๊นท์ อุปกรณ์เข้าแคมป์ อุปกรณ์กีฬา
โอ้วตรวจเยอะมาก ทั้งนี้เพราะว่าประเทศเค้ามีที่แค่นี้แล้วก็ธรรมชาติละเอียดอ่อนการที่มีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาอาจทำให้เสียสมดุลธรรมชาติและนำพาไปสู่หายนะอย่างพืชการเกษตรหรือสัตว์ตายเป็นวงกว้าง เค้าว่างี้ครับเอามาเล่าให้ฟัง โดยของส่วนใหญ่เค้าก็ให้ผ่านนะหลังจากตรวจแล้ว มาม่าก็ผ่านได้รองเท้าถ้าเลอะมากเค้าก็ให้ทำความสะอาดก่อนออก
Lake Tekapo
Day 1
ตอนแรกกะว่ามาเที่ยวที่แรกจะมีรูปเปิดโพสต์นี้แบบโหดๆทางช้างเผือกลั่นๆเพราะ Lake Tekapo เนี่ยตั้งอยู่ใน dark sky reserve หรือเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดที่จะเห็นดาวชัดมาก... ถ้าฟ้าเปิด ปรากฎว่าฝนตกฟ้าอึมครึมวิสัยทัศน์ไม่ค่อยดีตั้งแต่เครื่องลงเลย ดูพยากรณ์ตรงนั้นแล้วเห็นว่าฝนจะตกไปอีก 2 - 3 วัน กรี๊ดสิครับ
หลังเครื่องลงรับรถเช่าแล้วก็ขับรถมา 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึง Lake Tekapo อากาศแบบเน่าสุดๆ คือถึงช่วงบ่ายๆแต่มองฟ้าแล้วมันไม่รู้ว่ากี่โมง 555 เลยขับรถเข้าที่พักที่ไม่ไกลจากทะเลสาบมากแล้วไปเดินดูซุปเปอร์ใกล้ๆหาข้าวเย็นกินแก้เศร้าดีกว่า อาหารในซุปเปอร์ก็ไม่ค่อยล้ำเท่าไหร่นะครับ สู้เซเว่นบ้านเราไม่ได้เลย แนะนำว่าอย่าซื้อหอยแมลงภู่แบบดองกินเพราะมันเปรี้ยวแบบน้ำส้มสายชูเลยแหละ กินแล้วหลับตาปี๋ แนะนำซื้อลูกชิ้นหมูทำคู่กับอะไรก็ได้อร่อยสุดละครับ คืนแรกนอนแก้ jetlag ไปก่อนแล้วพรุ่งนี้เช้าลองใหม่!
Day 2
เช้านี้ฝนหยุดตกให้นิดนึงแต่เมฆยังเพียบอยู่ คืนก่อนนอนไป ตื่นมาตี 3 ก็ลองออกมาส่องดูนะครับว่าฟ้าเปิดป่าวเพราะว่า Lake Tekapo เนี่ยตั้งอยู่ใน dark sky reserve หรือเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดที่จะเห็นดาวชัดมาก คืนก่อนฟ้าไม่เปิดแต่ไม่เป็นไรยังอยู่อีกหลายวันมันต้องได้บ้างล่ะ

แลนด์มาร์คที่ทุกคนต้องมาคือ The Church of the Good Shepherd ที่อยู่ริมทะเลสาบ ตรงนี้ถ้าฟ้าเปิดตากล้องหลายคนจะจัดเอาไว้เป็น Foreground และมีดาวทางช้างเผือกเป็น background
ข้อดีของท้องฟ้าแสงอึมครึมคือแสงมันก็จะนุ่มๆตลอดวันอ่ะนะครับ เหมาะมากๆกับการถ่ายภาพอะไรก็ได้ที่ไม่เห็นท้องฟ้า แถวนี้ต้นไม้สวยมากเลยครับ ใบไม้สีเหลืองมันเปล่งปลั่งมากๆในวันที่แสงเย็นๆ เพราะฉะนั้นเพื่อนๆเจอฟ้าเน่าๆอย่าท้อครับ
สัตว์ป่าแถวนี้ก็จะแบ๊วๆนะครับเค้าว่านิวซีแลนด์ถูกหวยมีสัตว์ป่าน่ารักๆแม้แต่งูยังไม่มีเลย แต่ออสเตรเลียนี่กลับได้มาแต่สัตว์ป่าที่เป็นอันตรายต่อชีวิต แถวใกล้ๆโบสถ์นี้มีกระต่ายเยอะมากเลยน่ารักจัง
หิวแล้วเลยพากันไปหาข้าวกินที่ Astro Cafe ที่อยู่ตรงจุดชมวิว Mt John Observatory View Point ทางเข้าตรงนี้เปิด 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นและมีค่าเข้า 8 เหรียญ (170 บาท) ต่อรถหนึ่งคันนะครับ ด้านบนเป็นสถานีดูดาวมีตึกกลมๆแบบนี้เยอะเลยครับ มองออกไปก็จะเห็นทะเลสาบสีฟ้าอ่อนสวยมากๆ
คาเฟ่นี้มีอาหารเครื่องดื่มขายด้วยแต่รสชาติมันแย๊แย่ กินแก้หิวนิดหน่อยละกันนะเพราะจะไปเที่ยวต่อที่ Lake Pukaki และไปต่อที่ Aoraki / Mount Cook National Park
Aoraki / Mount Cook National Park
พอดีขากำลังไปตรง Lake Pukaki ที่อยู่ปากทางไป Aoraki National Park นี่เมฆแยะเลยเก็บที่เที่ยวไว้ก่อน แต่ระหว่างทางก็เริ่มเห็นภูเขาหิมะที่ดูลึกลับน่าเกรงขามแล้วล่ะ
แผนเดิมของผมคือจะไปเที่ยวเดินที่ Hooker Valley Track ก่อนเลยเพราะเส้นทางเดินนี้มันมีชี่อเสียงที่สุดของตรงนี้แล้วล่ะ แต่ว่าฝนมันตกไม่หยุดเลยนะ ไปที่ Visitor Centre ของเค้าก่อนละกันหาข้อมูลว่าฝนตกคนที่นี่เค้าทำอะไรกันนอกจากนอนดูซีรี่ย์ แล้วก็พบเจอกับ Governor Bush Walk เป็นเส้นทางเดินริมเขาใช้เวลาทั้งหมดชั่วโมงถึงชั่วโมงครึ่งครับ ที่เลือกตรงนี้เพราะมันเป็นเส้นทางเดินในป่าฝนที่เหมาะสุดๆแล้วในเวลาฝนตกพรำๆ แสงอ่อนๆที่ทะลุเมฆออกมาไม่ได้ช่วยให้ภาพไม่มีเงาแข็งๆแล้วยอดไม้ก็บดบังฟ้าจืดๆ

การเดินเส้นทางนี้ก็ไม่ยากเกินไปนะครับ ต้องเดินขึ้นลงเยอะหน่อยแต่ก็มีขั้นบันไดตลอด ข้อดีคือไม่ร้อนเลยไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่ เหนื่อยตอนก้มๆเงยๆถ่ายรูปนี่แหละ
ถ่ายภาพสนุกมากๆเลยครับถึงแม้จะฝนตกตลอด มอสสีเขียวอ่อนบนพื้นบนลำต้น หมอกบางๆที่เพิ่มมิติให้กับภาพ ทำให้ต้นไม้ด้านหลังมัวๆรู้สึกไกลออกไปกว่าเดิม ความต่างของอุณหภูมิสีของฉากหน้ากับฉากหลังก็ชัดเจน อุ่นด้านหน้าเย็นด้านหลัง โอ้วฟิน
พอเดินไปถึงจุดสูงสุดของเส้นทางนี้ (ซึ่งไม่สูงเท่าไหร่เลย) ก็มองเห็นยอดเขาใกล้ๆด้วย ทีนี้ความอึมครึมของท้องฟ้ามันทำให้ล้ำยิ่งขึ้นไปอีก ยอดเขาที่โผล่ออกมาจากเมฆหรือมุดๆอยู่ในเมฆมันดูลึกลับดูพิศวง
เดินกลับลงมาจากเขาแล้วก็มืดพอดี ฤดูนี้มืดค่อนข้างไว ห้าโมงเย็นพระอาทิตย์ก็ตกแล้วล่ะครับ
สำหรับอาหารการกินสำหรับคนที่จองที่พักอยู่ใน Mount Cook Village นั้นมีตัวเลือกแบบนี้ครับ
ทำกินเองโดยการซื้อกับข้าวมาจากข้างนอก ซุปเปอร์ที่ใกล้ที่สุดห่างออกไป 45 นาทีจากโซนที่พัก คือต้องออกไปถนนใหญ่เลย หรือที่พักเค้าก็จะมีขายมาม่า ซีเรียล ไข่ อาหารกระป๋องอยู่เหมือนกันแต่ตัวเลือกจะน้อยมาก ที่พักส่วนใหญ่จะมีห้องครัวรวมให้ไว้แบ่งกับนักท่องเที่ยวท่านอื่น มารยาทการใช้ครัวก็จะมีบอกไว้ชัดเจน กินแล้วล้างเช็ดเก็บที่เดิมเป็นอันใช้ได้
กินที่ร้าน The Old Mountaineers Cafe ที่เปิด 5 โมงครึ่งปิดหนึ่งทุ่ม เปิดร้านเหมือนกลัวรวย แต่เป็นปกติของเมืองฝรั่งในที่เที่ยวตามธรรมชาติครับต้องทำใจ
กินที่ร้านบุฟเฟต์ที่โรงแรม The Hermitage Hotel ที่ผมแนะนำว่าอย่าเลยนะไม่อร่อยแล้วก็แพงด้วย สรุปคือหาซื้อกับข้าวเตรียมมาก่อนดีสุดครับ
ค่ำคืนนี้ก็รีบเข้านอนแล้วก็หวังว่าพรุ่งนี้ฝนจะไม่ตกแล้วนะ
Day 3
มาเที่ยวทีไรตื่นเช้าตลอดไม่เหมือนตอนทำงาน พอตื่นปั๊บเลยเดินออกไปดูหน้าที่พักหน่อยว่าอากาศเป็นไงบ้าง โหในที่สุดฝนก็หยุดแล้วมีโอกาสให้เราได้เห็นยอดเขาบ้างแล้ว มองจากที่พักที่ Aoraki Alpine Lodge สามารถเห็นยอด Mount Cook หรือ Aoraki ได้ด้วยนะครับ เช้านี้เมฆพอสมควรแล้วลมแรงทำให้เมฆสะท้อนกับยอดเขาพุ่งออกมาเป็นสายเลย ลวดลายหิมะตัดกับภูเขาสีดำก็ดูแปลกตาจริงๆ

ตื่นมาไม่รอช้าต้มมาม่าที่พกมาด้วยกินก่อนเลย กินอาหารแถวนี้หลายมื้อแล้วชีวิตมันห่อเหี่ยว มาม่านี่แหละเพื่อนแท้คนไทย
วันนี้เราจองทัวร์ Glacier Explorer เอาไว้ ทัวร์นี้บริหารจัดการโดยโรงแรม The Hermitage Hotel ราคาผู้ใหญ่คนละ 165 เหรียญ (3,475 บาท) ราคาเด็กคนละ 75 เหรียญ (1,580 บาท) คิดย้อนดูแล้วก็แพงเหมือนกันนะนี่ ตอนจะไปเที่ยวละลืมคิด
เพื่อนสามารถจองล่วงหน้าได้ที่เว็บ https://www.hermitage.co.nz/experience/glacier-explorers/ หรือจะจองที่เคาเตอร์ที่โรงแรมก็ได้ครับ เค้าก็จะดูสภาพอากาศด้วยนะ ถ้าฝนตกก็มีโอกาสยกเลิกคืนเงินหรือขอเลื่อนวันถ้าอยู่นานๆ ตามนัดก็คือควรมาก่อนเวลาทัวร์เริ่ม 30 นาที
ระหว่างรอก็เดินเล่นหน้าโรงแรมวิวสวยรอบทิศทาง เดินแป๊บนึงพนักงานก็เรียกขึ้นรถแล้วมุ่งหน้าไปที่ Tasman Glacier ธารน้ำแข็งที่อยู่ถัดไปอีกหุบเขานึงจากที่ตั้งที่พัก

หลังจากรถจอดแล้วเราก็ต้องเดินเข้าไปตามทางเดินเทรคกิ้งเป็นระยะทางประมาณ 30 นาที เดินราบๆชิวๆครับ มองไปทางไหนก็มีแต่ความสวยงามตราตรึงใจ
เดินมาแป๊บเดียวก็เห็นทะเลสาบ Tasman ที่เป็นน้ำที่เกิดจากธารน้ำแข็ง น้ำเค้าก็จะสีเทาๆขุ่นๆแบบนี้นะครับเพราะเศษหินเศษดินที่ปนอยู่ในน้ำแข็งฟุ้งอยู่ในน้ำ

ทัวร์ของเราเป็นการนั่งเรือเพื่อเที่ยวดูก้อนน้ำแข็งยักษ์หรือ iceberg แบบประชิดตัวเลย ควรใส่เสื้อผ้าให้หนาแน่นเพราะว่าตอนนั่งเรือนี่มันหนาวใจจะขาดโดยเฉพาะตอนที่เรือวิ่งเร็วๆนะครับ
น้ำแข็งที่ลอยๆก็จะมีทั้งสีฟ้าสวยงามแล้วก็มีบางก้อนสีเทาๆ ที่มันเทานี่เพราะว่าเวลาน้ำแข็งเริ่มละลายไปดินและหินอยู่ถูกแช่แข็งไว้ก็เริ่มโผล่ออกมา
ในระหว่างทัวร์ไกด์เค้าก็จะพามาดูน้ำแข็งแบบประชิดตัวมาก ก่อนจะเข้ามาใกล้ๆเค้าก็ต้องเช็คก่อนครับว่าก้อนนี้มันจะไม่พลิกตัวเร็วๆนี้ เพราะน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำมามันแค่ประมาณ 10% ของทั้งก้อนเท่านั้นเอง เพราะงั้นเมื่อไหร่เค้าเสียสมดุลเค้าก็จะพลิกกลับขึ้นมาแล้วอาจจะเป็นอันตรายทำเรือล่มหรือทับเรือได้เลยนะ
น้ำแข็งใสปิ๊ง ถ้าแงะออกมาได้กินได้ด้วยนะตามที่ไกด์บอก ผมลองกินไม่มีรสชาติอะไรเลยแล้วก็ไม่ตายไม่ท้องเสียด้วย 555
บางก้อนน้ำแข็งก็ดูแล้วประหลาด เห็นแล้วก็งงๆว่าทำไมมันมาเรียงๆกันแบบนี้ได้นะ เช่นรูปบนนี้เหมือนมีคนเอาน้ำแข็งก้อนๆนี้มาวางไว้เลย
พอดู iceberg กันพอสมควรแล้วเรือก็มุ่งหน้าไปดู glacier ก่อนที่เค้าจะแตกออกมาเป็นน้ำแข็งที่ลอยอยู่บนน้ำ ทะเลสาบนี้ห้อมล้อมด้วยยอดเขาสูงหิมะปกคลุม
ในอดีตสมัยยุคน้ำแข็ง glacier ปกคลุมไปถึงภูเขาสูงๆนั่นเลยทีเดียว ยิ่งตอนนี้โลกร้อนขึ้น glacier ที่นี่ก็ร่นถอยไปเยอะมากเลย
ทัวร์ช่วงเช้าไปแล้วตอนบ่ายนี้ก็กะแล้วจะไปเอาคืนที่ Hooker Valley Track เทค 2 ตอนบ่ายกัน เอารถไปจอดที่ปากทางเข้าแล้วก็เริ่มเดินเลย เส้นทางนี้ถ้าเดินแบบจ้ำๆไม่สนฟ้าสนดินก็จะใช้เวลาไปกลับประมาณ 3 ชั่วโมงโดยต้องเดินออกย้อนทางเดิม ผมก็เตรียมใจแล้วล่ะว่าน่าจะต้องใช้เวลาซัก 4 - 5 ชั่วโมงเพราะจะหยุดถ่ายรูปไปเรื่อยนี่นะ
ทางเดินทั้งหมดจะมีแลนด์มาร์คอยู่ 3 จุดที่เป็นสะพานแขวน suspension bridge ข้ามแม่น้ำเชี่ยวกราดท่ามกลางภูเขาสูงเทียมเมฆ สะพานแรกมองเห็นได้หลังจากเดินเข้าไปประมาณ 15 - 20 นาทีครับเดินผ่านยังไงก็เห็นแน่นอน ที่พีคกว่านั้นคือทำไมทำท่าเหมือนฝนจะตกล่ะนั่น คือยิ่งเดินเข้าไปในเขามากเท่าไหร่ฝนก็ยิ่งเยอะเท่านั้นนะครับ เหมือนมันเป็นเรื่องปกติของแถวนี้ พนักงานโรงแรมก็ยังบอกว่ายอดเขา Mount Cook นี่โดนเมฆบดบังเป็นส่วนใหญ่ด้วย เพราะแบบนั้นจะเป็นการดีกว่าถ้าให้เวลากับที่นี่หลายวันหน่อยเผื่อดวงไม่ดีวันแรกๆ
ดูแล้วมันก็มีแววว่าฝนตกแต่ใจก็อยากลองเดินไปดูก่อน เดินไปได้ครึ่งทางระหว่างสะพานแขวน 1 กับ 2 ก็รู้เรื่องแล้วล่ะ ยิ่งเดินใกล้ฝนยิ่งตกหนาวลมพัดหน้าเย็นเจี๊ยบเลยตัดสินใจไม่ไปแล้วก็ได้ พรุ่งนี้เช้ากลับมาเอาใหม่เทค 3

ไม่เป็นไรนะถึงวันนี้จะไม่บรรลุจุดหมายแต่คืนนี้มีเรื่องดีๆเกิดขึ้น ด้วยความที่หุบเขาฝั่งที่เราไปดู glacier มาเมื่อเช้าดูแล้วเมฆน้อยแล้วไม่มีคนอาศัยอยู่เลยค่ำคื่นมืดสนิทแน่นอนเลยไปลองดูดาวหาทางช้างเผือกหน่อย วิธีคาดเดาทางช้างเผือกสมัยนี้ทำได้ง่ายมากๆครับเพียงแค่มีแอพ PhotoPills ติดโทรศัพท์ไว้เราสามารถดูได้เลยว่าวันเวลาไหนทางช้างเผือกจะโผล่ออกมาและฟ้าจะมืดพอให้ถ่ายภาพติดได้รึเปล่า
ให้ปักหมุดไว้ที่ Tasman Glacier Car Park แล้วก็ขับไปเลยตามทางพอพ้นเขตที่พักไปแล้วตรงไหนก็มืดพอจะเห็นดาวเต็มฟ้าได้แล้วล่ะครับ นี่เป็นครั้งแรกเลยล่ะที่ผมได้เห็นทางช้างเผือกด้วยตาเปล่า แบบเห็นเมฆตรงศูนย์กลางของแกแล็กซี่ได้เลย ดาวก็เห็นชัดเต็มฟ้าไปหมด
พูดถึงความมืดนี่มันมืดมากจริงๆครับแบบที่ว่ามองมือตัวเองยังไม่เห็น ไฟฉายควรมีไว้ด้วยและการถ่ายรูปก็ยากพอสมควรเพราะมืดขนาดนี้กล้องเราไม่สามารถหาจุดโฟกัสได้เลย ทริคก็คือ
ควรจะเอาเลนส์ที่จะใช้ตั้งโฟกัสไปที่ไกลๆหรือระยะ infinity ไว้ก่อนในที่ๆมีแสง
พอโฟกัสได้ปั๊บก็เปลี่ยนไปเป็นโหมด manual focus เพื่อรักษาระยะโฟกัสไว้แล้วห้ามหมุนเล่น
สุดท้ายเอามาถ่ายดาวก็ได้จะภาพที่เข้าโฟกัสถูกต้อง
ISO ต้องใช้ที่สูงพอสมควร สูงแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าเลนส์เราเปิดรูรับแสงได้กว้างแค่ไหนด้วยแต่ข้อปฎิบัติคือความเร็วชัตเตอร์ไม่ควรนานกว่า 20 วินาทีไม่งั้นดาวจะเริ่มขยับเป็นเส้นครับ
ฟินแล้วมาเที่ยวครั้งนี้ คืนนี้นอนหลับได้อย่างสบายใจ เหลือลุ้นอย่างเดียวว่า Hooker Valley เทค 3 จะสำเร็จมั้ย
Day 4
วันนี้ก็ตื่นเช้าเหมือนเดิมออกมาสังเกตข้างนอกตอนยังมืดอยู่เลยก็เห็นว่าเมฆเยอะมากอีกแล้ว โอ้วเสียใจจะไม่ได้เดินอีกแล้ว หลังจากนอนต่อนิดหน่อยโผล่มาดูใหม่เลยเห็นว่าฟ้ามันเปิดแล้วนี่นา เป็นฤกษ์งามยามดีให้เราได้เดินเข้าไปเที่ยวกันแล้ว รอบนี้ขาเดินเข้าไปอากาศดีมากลมไม่แรงไม่มีฝนตกมีแดดเป็นช่วงๆไม่ค่อยหนาว เดินมาแป๊บเดียวก็ถึงที่ๆหยุดเมื่อวาน วันนี้ภรรยาห่อมาพร้อมมากเลยครับ
สะพาน 2 แล้ว จุดหมายไม่รู้ว่าสวยแค่ไหนแต่ระหว่างทางเค้าสวยมากจริงๆ คนก็ไม่มากมีแต่เสียงน้ำไหล แดดที่ส่องมาอ่อนๆบนภูเขาที่เยือกเย็นให้รู้สึกอบอุ่น บรรยากาศดีจัง
สำหรับใครที่ไม่อยากเดินจนจบ ถ้าพ้นสะพาน 2 มาแล้วก็สามารถเห็นยอด Mount Cook ได้ แล้วเป็นมุมที่สวยดีด้วยครับ เดินมาตรงนี้น่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง แต่สำหรับเราต้องไปต่อ ทางเดินไม่ยากเลยครับมีบันไดเยอะบางช่วงแต่ส่วนใหญ่เป็นทางไม่ชันมาก
ตามทางจะมีลำธารเล็กๆที่น้ำใสไหลเย็น ลองซดดูทีนึง น้ำไม่มีรสชาติอะไรเลยครับสะอาดบริสุทธิ์

สะพาน 3 เป็นโค้งสุดท้ายแล้วของเส้นทาง มองออกไปเห็นยอดเขาใกล้ๆแล้วล่ะ
ที่หมายของเราจบตรงนี้ที่ริมทะเลสาบ Hooker ที่มองไปไกลเห็นเป็น glacier อยู่ ริมทะเลสาบมีก้อนน้ำแข็งที่แตกออกมาลอยอยู่ด้วยครับ
สำเร็จแล้ว Hooker Valley Track หลังจากความพยายาม 3 หน เดินกลับออกมาแบบไม่แวะถ่ายรูปก็ใช้เวลาเดินแค่ชั่วโมงครึ่งเท่านั้นครับ กลับถึงรถขับรถออกไปจากที่นี่มุ่งหน้าสู่ Lake Wanaka ระหว่างทางมีจุดชมวิวสวยๆให้จอดรถดูได้เยอะเลย
ถ่ายภาพยอด Mount Cook กับถนนพุ่งไปหาภูเขา ควรมีคนดูต้นทางให้ด้วยเพื่อความปลอดภัย
https://goo.gl/maps/rmcHGB48TgwES6239
ถ่ายภาพยอด Mount Cook กับถนนซิ๊กแซ๊กกับริมตลิ่งทะเลสาบไปหาภูเขา
https://goo.gl/maps/aVcNay74rDP6AgWA7
ระหว่างทางแวะกินข้าวที่ฟาร์มปลาแซลมอนด้วย ได้ปลาเยอะดีครับ ถ้าไม่รู้จะกินอะไรลองแวะไปดู มีสองร้านที่ขายปลาแซลมอนแถวนี้
Mt Cook Alpine Salmon Shop ร้านติดริมทะเลสาบ Pukaki แต่ไม่มีกระชังปลา เป็นร้านขายอย่างเดียว มีปลาดิบ ปลาย่าง รมควัน ไข่ปลา จะซื้อกลับบ้านหรือกินที่ร้านดูวิวก็ได้
High Country Salmon ร้านนี้มีกระชังเลี้ยงปลาหลังร้าน มีอาหารหลากหลายกว่ารสชาติพอใช้ได้ ทำใจว่าฝรั่งเค้าอาจจะไม่พิถีพิถันเรื่องกินเหมือนบ้านเรา มีรูปร้านนี้ด้วย
Lake Wanaka
กินอิ่มแล้วเริ่มเดินทางต่อไปที่ Lake Wanaka ขับรถมาถึงก็โพล้เพล้แล้ว เช็คอินที่โรงแรมแล้วออกไปเดินเล่นในเมืองเล็กๆนิดหน่อย เมืองเล็กๆครับไม่ค่อยมีอะไร ที่มานี่ก็เพราะต้นไม้ที่อยู่ในทะเลสาบที่เป็นรู้มุมมหาชนคนมาเที่ยวนิวซีแลนด์ ดูบรรยากาศเมืองยามเย็นเป็นแบบนี้จ้า
Day 5
เช้านี้ตื่นแล้วไปรอพระอาทิตย์ขึ้นที่ต้นไม้โด่งดัง #ThatWanakaTree เช้านี้หมอกลงบนผิวน้ำเต็มเลย
ตอนแรกจะขับรถออกไปแล้วแต่โชคดีมองไปเห็นแสงอาทิตย์ที่โผล่พ้นเขามาแล้วสาดลงมาที่หมอกเป็นสีส้มบนผิวน้ำโอ้วสวยเว่อ

ถ่ายรูปเสร็จแล้วก็รู้ตัวว่านิ้วเท้านี่เย็นจนเจ็บแล้วจ้า กลับโรงแรมทำกับข้าวกินกันแล้วเดินทางออกจากเมืองนี้กันเลย จริงๆที่เที่ยวที่นี่ก็ยังมีอีกนะครับแต่คิดๆดูแล้วมันไม่คุ้มค่าเดินขึ้นเขาเท่าไหร่เลยขอผ่าน
จุดหมายถัดไปเราจะขอข้าม Queenstown ไปก่อนแล้วเลยไปที่ Fiordland National Park กันโดยมีฐานที่ตั้งที่เมือง Te Anau ติดทะเลสาบชื่อเดียวกัน ขับรถจาก Lake Wanaka เกือบ 3 ชั่วโมงต้องขึ้นลงเขากันเอาเรื่องอยู่ 1 จุดแต่ตรงนี้วิวก็สวยนะ จุดชมวิวเริ่มที่ Crown Range Summit แล้วก็จะมีอีกตามทางเรื่อยๆ ค่อยๆขับจะได้จอดทันกันนะครับ
ริมทางมีคนเอาธงชาติตัวเองมาแขวนไว้ด้วย ว่าแต่สภาเจไดก็เคยมาเที่ยวนิวซีแลนด์หรอเนี่ย ช่วงที่ทางลงเขาโหดก็จะอยู่ตรงทางก่อนถึง Queenstown นี่เองครับ วันนี้เราขับเลย Queenstown ไปก่อนและก็มาถึงที่ Te Anau ที่เห็นว่าฟ้าใสๆก่อนหน้านี้หายไปแล้วตรงนี้ฝนกลับมาตกอีกครั้ง แดดก็จะออกฝนก็จะตก

Te Anau
วันแรกที่ Te Anau เราจะไปเที่ยวดูหนอนเรืองแสงในถ้ำหรือที่เค้าเรียกว่า Glow Worm Caves เป็นทัวร์ที่ต้องนั่งเรือออกจากเมืองไปอีกฝั่งของทะเลสาบที่เป็นป่าทั้งหมดไม่มีถนนไม่มีคนอยู่เลย เรือลำใหญ่สะอาดนั่งสบายแล้วก็มีดาดฟ้าให้ดูวิวด้วยแถมลมตีหน้าอย่างรุนแรง
เว็บสำหรับจองทัวร์ตามลิงค์ด้านล่างโดยราคาอยู่ที่ 99 เหรียญ (2,100 บาท) และ 40 เหรียญ (850 บาท) สำหรับเด็ก
โดยราคานี้ก็จะรวมสิ่งเหล่านี้ครับ
นั่งเรือชมวิวรอบๆทะเลสาบ Te Anau
ทัวร์ถ้ำและนั่งเรือเล็กในถ้ำดูหนอนเรืองแสง
ฟรีกาแฟและชา

พอดีฝนตกเยอะเลยไม่มีรูปวิวรอบทะเลสาบแล้วถ้ำนี่เค้าก็ไม่ได้ให้เอาอะไรเข้าไปห้ามถ่ายรูปหรือเอาไปก็คงถ่ายไม่ได้เพราะว่าตอนที่เห็นหนอนนี่มันมืดสนิทจริงๆนะ หนอนที่อยู่ในถ้ำนี่มันเรืองแสงจริงๆมหัศจรรย์มากครับ
นอกจากในถ้ำแล้วด้านนอกก็มีทางเดินตามในป่าฝนสั้นๆแค่ 10 นาที แถวนี้อากาศชุ่มชื้นมากทำให้มีมอสขึ้นตามพื้นตามต้นไม้เพียบเลย
เดินเล่นแล้วสามารถมารับกาแฟชาได้ที่กระท่อมนี้ที่จะมีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับหนอนพวกนี้ด้วย ทัวร์นี้ก็ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆเรือเค้าก็กลับมาส่งที่ Te Anau คืนนี้กินข้าวที่ร้านสเต็กในเมืองร้านนี้ครับ โหเป็นร้านแรกที่รู้สึกว่าอร่อย ถ้าไม่รู้จะกินอะไรมาร้านนี้ได้เลยครับ The Ranch Bar & Grill