Road trip เที่ยว Morocco โมร็อกโก 15 วัน 14 คืน ความสวยงามที่ต้องฝ่าฟัน - ตอนที่ 2
- Opp
- 2 มี.ค.
- ยาว 5 นาที
อัปเดตเมื่อ 27 เม.ย.

เดือนที่เดินทาง - กุมภาพันธ์ 2025
Salam alaykum Morocco สวัสดีครับเพื่อนๆนักอ่านอีกครั้งสำหรับทริปโมร็อกโกของเรา หลังจากตระเวณโซนเหนือของโมร็อกโกไปแล้วตอนนี้เราจะขับรถ 8 ชั่วโมงจาก Fes เพื่อไปที่ Merzouga หมู่บ้านสุดท้ายทางทิศตะวันตกของโมร็อกโกที่ชายขอบของทะเลทรายซาฮาร่า
ตอนนี้เป็นตอนที่ 2 ของทริป 15 วัน 14 คืน และจะครอบคลุมสถานที่เหล่านี้
ส่วนตอนที่ 1 ที่เล่าไปแล้วก่อนหน้านี้สามารถอ่านได้ที่ LINK นี้เลยสำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านหรืออยากอ่านซ้ำก็ยินดีมากๆ
Casablanca คาซาบลังกา เมืองสีขาว ขนาดใหญ่ที่สุดของโมร็อกโกติดมหาสมุทรแอทแลนติก
Rabat ราบัต เมืองหลวงและใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ อยู่ติดมหาสมุทรแอทแลนติก
Chefchaouen เชฟชาอูน เมืองสีฟ้าตั้งอยู่ในเทือกเขาริฟทางตะวันตกเฉียงเหนือ
Fes เฟส เมืองเก่าตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 8 พาให้ย้อนไปยุคกลาง และมี medina ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ถ้าใครได้อ่านตอนแรกแล้วก็คงเห็นว่าโมร็อกโกมีประวัติศาสตร์เก่าแก่และสวยงามมากแต่ก็อาจจะไม่ใช่สถานที่สำหรับทุกคน เพราะแบบนี้ผมขอเล่าประสบการณ์แบบตรงไปตรงมาเหมือนเดิมเพื่อให้ทุกคนประกอบการตัดสินใจ ไม่มีอวยเว่อและไม่มีตำหนิแบบไร้เหตุผล
Merzouga เมอร์ซูก้า ทะเลทรายซาฮาร่า 3 วัน 2 คืน
การเดินทางจาก Fes สู่ทะเลทรายซาฮาร่าต้องใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ต้องเตรียมตัวให้ดีไม่ว่าจะเป็นขนมน้ำไว้กินระหว่างทาง หรือจะเป็นกาแฟกินแก้ง่วงเวลาขับถนนตรงๆยาวๆ แล้วยิ่งที่โมร็อกโกถนนส่วนใหญ่มี speed limit ที่ 60 หรือ 80 ก.ม./ชั่วโมง
ถึงแม้ถนน National Road จะขับเร็วสุดได้ที่ 100 ก.ม./ชั่วโมง ป้ายจำกัดความเร็วเปลี่ยนบ่อยมากและมีโซนที่ต้องขับ 60 ก.ม./ชั่วโมงบนทางตรงยาวๆเยอะมากจนหัวร้อนบ่อยครั้ง แนะนำวิธีเอาตัวรอดจากตำรวจจราจรด้วยการขับตามรถคนพื้นที่ บางทีเขาจะขับเร็วกว่าความเร็วจำกัดในโซนที่เค้ารู้ว่าไม่มีกล้องไม่มีตำรวจหลังพุ่มไม้
อีกวิธีคือเปิด Google Maps ไว้ตลอดเพราะบนแอพจะมีเตือนว่าตรงไหนมีกล้องจับความเร็ว การปรับเงินเค้าจะมีตำรวจตั้งด่านหลังจากเราผ่านกล้องจับความเร็วแล้วจะเก็บเงินค่าปรับตรงนั้นเลย ทั้งทริปผมโดนไปสี่ใบ ผิดหนึ่งครั้ง 150 dirham (ออกเสียงว่าเดียรั่ม) หรือประมาณ 500 บาท
ออกจาก Fes มาไม่นานก็มีอะไรให้ตื่นตระหนกกันแล้วเพราะอยู่ดีๆหน้าปัดรถบอกว่าข้างนอกอุณหภูมิ -10 องศาเซลเซียส มองไปข้างนอกก็งงว่าทำไมหญ้าข้างทางมันขาวๆ เอ๊ะต้นไม้ก็ขาวๆแปลกๆ อ่อมันแข็ง! เราอยู่บนเขาสูงหิมะตก ไม่ได้เตรียมใจไว้เลยว่าจะเจอแบบนี้ แถวๆนี้อยู่ใกล้เมือง Ifrane ที่ตั้งอยู่ในเทือกเขา Atlas นี่เอง
ตัวความที่ไม่ได้เตรียมตัวมาเลยก็ทำให้จอดไม่ทันในที่สวยๆบางจุด ถ้าใครมาในช่วงฤดูหนาวเหมือนกันก็ดูไว้เป็นจุดแวะได้นะครับ ถ้าไม่รู้จะจอดไหนลองปักไว้ที่ Michlifen ดูก็ได้ครับ เป็นป่าสนหิมะปกคลุมเหมือนการ์ตูนดิสนี่ย์เลยแหละ
ขับต่อมาซักพักก็หลุดออกมาจากที่หนาวเย็นและทิ้งภูเขาหิมะไว้ข้างหลังแล้วก้าวสู่ดินแดนอันแห้งแล้งที่มองไปจะได้เห็นแต่สีแดงส้ม ด้วยความที่หนทางยาวไกล การจอดรถพักดูวิวบ้างเพื่อจะได้พักสายตา พักแก้เมื่อยตูดกันบ้าง บางทีจอดก็เพราะโดนตำรวจเรียกจ่ายค่าปรับเพราะเราขับเร็วกว่า speed limit ไป 7 ก.ม./ชั่วโมง
ตามจุดจอดรถวิวสวยๆนี่ก็จะมีชาวบ้านแถวนี้มานั่งรอขายของกันเยอะเลย ทำให้เวลาลงไปแล้วต้องรีบหนีกลับขึ้นรถ ของที่ขายก็เป็นหินสีที่กลวงด้านในหรือ geodite ที่อาจจะเคยเห็นกันตามร้านของซินแสดูฮวงจุ้ยแต่ว่าที่มีก้อนแบบเล็กๆที่น่าจะขายไม่ได้ราคา เค้าบอกว่าขุดกันมาเองจากในภูเขาแถวนี้นะแต่ไม่รู้จริงมั้ย
หลังจากขับๆจอดๆมา 8 ชั่วโมงเราก็มาถึงแล้วเมือง Merzouga จากการนัดแนะกันเราต้องมาถึงก่อน 4 โมงเย็นเพราะจะแวะอะไรก็ต้องเผื่อเวลาให้ดีด้วย
คือถึงจะบอกว่ามาที่เมอร์ซูก้าแต่จริงๆแล้วเมืองนี้เป็นทางผ่านเพราะเรามาขึ้นรถเพื่อจะเข้าไปนอนในทะเลทรายโดยได้ทำการจองแคมป์ในทะเลทรายไว้แล้วที่ Jannat Luxury Camp เค้าก็นัดให้มาเจอกันและทิ้งรถไว้ที่ Dar Hassan ที่อยู่ในเมืองติดทะเลทราย เท่าที่ดูในเมืองก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่นะนอกจากเหล่าบริษัททัวร์ต่างๆ เมืองก็ดูไม่ค่อยได้รับการดูแลเท่าไหร่ถนนยังไม่ได้ราดยางเป็นส่วนใหญ่
คนส่วนใหญ่เค้าก็จะมาอยู่ในแคมป์นี้กันคืนเดียวเท่านั้นแล้วย้ายไปนอนในเมืองหนึ่งคืนเพื่อไปทัวร์ต่างๆได้ง่าย แต่เราก็คิดว่าไหนๆก็ขับรถมาอย่างไกลแล้วและอยากจะให้เป็นที่พักผ่อนกลางทริปด้วยก็เลยตัดสินใจอยู่ 2 คืน ราคาต่อคืนนี้รวมอาหารเย็นและเช้า แล้วยังรวมขี่อูฐไปกลับแคมป์ด้วย บางคนก็สงสารน้องอูฐก็สามารถนั่งรถได้เหมือนกัน ส่วนกระเป๋าเสื้อผ้าเค้าจะเอาขึ้นรถไปที่แคมป์ก่อนเลย

ด้วยความที่เดือนกันยายนปี 2024 มีฝนตกที่ซาฮาร่าทำให้ตรงทางเข้าทะเลทรายกลายเป็นโอเอซิสให้ชาวบ้านแถวนี้ได้น้ำไว้ใช้ทำการเกษตร เป็นฝนแรกในรอบหลายปีเลย
ขี่อูฐเป็นเวลา 1 ชั่วโมงเพื่อไปจอดรอดูพระอาทิตย์ตก ก่อนขี่อูฐแนะนำว่าอย่ากินข้าวมาเยอะเพราะมันกระโดกกระเดกมาก นั่งเฉยๆยังเหนื่อยเลยอ่า พนักงานคนลากอูฐเค้าพกสโนว์บอร์ดมาด้วยแต่เค้าให้เอามาสไลด์ลงเนินทรายแทน แล้วกลุ่มเรา 4 คนมีแต่คนขี้เกียจ ปรากฎเล่นกันเป็นพิธีคนละรอบ คุ้มค่าแบกไหมนะ 555
เล่น sandboarding พอละกลับไปทำเรื่องของเราดีกว่า ครั้งก่อนที่ไปทะเลทรายก็นานมากแล้วเลยตื่นเต้นมากที่ได้มาซาฮาร่าเพราะผมชอบถ่ายรูปทะเลทรายมาก มันมีเส้นสายเป็นคลื่น มีเงามืดสว่างเยอะมากให้ได้มองหามุมสวยๆได้เยอะ เสียดายอย่างเพราะเราได้แต่ดูจากเนินเตี้ยๆไม่ได้ขึ้นไปบนยอดเนินอันใหญ่เพราะว่าอูฐพาเดินไปที่แคมป์ที่อยู่ขอบๆทะเลทราย
อูฐก็พาเราเดินต่อกลับมาถึงค่ายหลังพระอาทิตย์ตกไปแล้ว พอถึงเราก็ให้ทิปกับตาคนจูงอูฐเพราะเค้าเดินมาไกลมาก แต่ด้วยความไม่คาดคิดเค้าก็เรียกให้ทุกคนมานั่งล้อมกันแล้วก็เริ่มกางของที่ระลึกมาแล้วก็ขอให้ช่วยซื้อซัพพอร์ทครอบครัวหน่อย พอถึงตอนนั้นก็คิดในใจว่าเอาแล้ว ขายของอีกแล้วพี่น้อง แล้วของมันก็แบบมีขายที่อื่นทั่วไปแต่เก็บราคาแพงกว่าที่อื่นเยอะมาก แต่สุดท้ายทุกคนก็ยอมซื้อเพื่อจะได้ไปกินข้าวกันซะที
ส่วนเต้นท์นอนหน้าตาประมาณนี้เลย มีเตียงดี มีห้องน้ำมีส้วมดี น้ำอุ่นก็มีแต่ต้องรอนิดนึง มีเรื่องเดียวคือในเต้นท์ไม่มีเครื่องปรับอากาศเพราะงั้นตอนกลางคืนตอนเช้าหนาวเหน็บแน่นอน พอเอาของลงล้างหน้าล้างมือเรียบร้อยก็พากันไปกินข้าวที่เต้นท์กลาง อาหารก็ถือว่าอร่อยเลยยกเว้นขนมหวานที่หวานมาก
กินข้าวเสร็จแล้วพนักงานก็เชิญให้แขกไปนั่งรอบกองไฟข้างนอกกันแล้วเค้าก็โชว์ตีกลองร้องป่าวรอบกองไฟ บรรยากาศเหมือนสมัยเข้าค่ายลูกเสือเลย สงสารพนักงานมากเพราะว่าลูกค้าคืนนี้โคตรกร่อย 555 ไม่มีใครชอบปาร์ตี้
พนักงานทุกคนเป็นชาว Berbers หรือ Amazigh จริงๆคำว่า Berbers มันมาจากคำว่า Babarian ที่แปลว่าคนเถื่อน แต่เห็นเค้าก็เรียกตัวเองกันแบบนั้นคงไม่ใช่คำไม่ดีสำหรับเค้า คืนก่อนเค้าก็เล่าให้ฟังว่าวิถีชีวิตเป็นยังไงการอยู่ท่ามกลางทะเลทรายแบบนี้คนต้องปรับตัวมากขนาดไหนเพื่อจะอยู่รอด หน้าร้อนที่ร้อนบรมแบบอยู่กลางแจ้งไม่ได้เลย ปีไหนฝนไม่ตกก็ต้องมาขุดหาน้ำบาดาลกันลึกมากๆหลายเมตรเพื่อหาน้ำมาทำไร่
นอนในผ้าห่มก็อุ่นดีนะแต่ว่าการออกจากผ้าห่มนี่มันช่างยากเย็นทรมานเหลือเกิน เช้าวันนี้มายืนดู sand dunes ที่หน้าค่าย พอแสงเปลี่ยนทิศทางวิวข้างหน้าก็ไม่เหมือนเดิม ดูแล้วก็อยากจะไปบนยอดเนินลูกใหญ่นี้ ดูจากข้างล่างแล้วยังไม่สะใจเลย
คืนก่อนก็ได้ถามพนักงานเค้าด้วยว่ามีบริการพาเราขึ้นไปยอดเนินลูกใหญ่ข้างหน้าค่ายนั่นมั้ย ถามอยู่หลายรอบแต่เค้าก็ยืนยันว่าจากตรงนี้ไม่มี หรือจะให้ทัวร์จากในเมืองมารับต้องจ่ายเพิ่มแล้วไม่คุ้ม แล้วก็แนะนำว่าพี่เดินไปเองเลย ใช้เวลาไม่นาน ชั่วโมงครึ่งก็ถึงยอดแล้ว มองออกไปแล้วก็ได้แต่คิด ว่าถ้าเดินไปแล้วจะไม่ตายใช่มั้ย ดูหนังมาเยอะ ไปเดินในทะเลทรายถ้าหลงมาคงตายแน่ๆ เอาจริงๆก็เว่อไปเพราะจริงๆแล้วมันก็แค่เดินเป็นเส้นตรงและสามารถมองเห็นแคมป์ได้ตลอดเวลา
พอกินข้าวเช้าแล้วคู่สามีภรรยาที่มาพร้อมกันเค้าก็นั่งรถออกไปทำให้ทั้งแคมป์มีลูกค้าเป็นแค่เราสองคน เหมือนเหมาเค้ามาเลย ถึงข้างนอกอากาศจะเย็นแต่แดดก็แรงมาก แต่ความเจ๋งคือในเต้นท์มันอุ่นพอดีเลยเพราะเก็บความร้อนจากแสงแดดเอาไว้ พนักงานเล่าให้ฟังว่าหน้าหนาวนี่แหละที่เหมาะแก่การมาอยู่ช่วงกลางวัน ถ้ามาช่วงอื่นส่วนมาก็อยู่ได้แค่ตอนเย็นถึงเช้าก่อนอากาศจะร้อนฉ่าจนอยู่กันไม่ได้ ช่วงที่เที่ยวได้ก็จะประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม แต่ไม่ควรอยู่ช่วงกลางวันยกเว้นเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์
ระหว่างกินข้าวกลางวันน้องพนักงานที่เป็นหัวหน้าค่ายก็มานั่งคุยกัน อายุน้อยมาก เล่าให้ฟังว่าช่วงโควิดมันย่ำแย่แค่ไหน ไม่มีงานสองปีทุกวันนอนตื่นมากินข้าวแล้วก็นอนใหม่วนไปเรื่อยๆ ฟังแล้วเห็นใจมาก
เสร็จแล้วก็วนกลับมาเรื่องจะไปบนยอดเนินนั้นยังไง สุดท้ายพอน้องพนักงานนี่บิ้วมากๆก็เลยตัดสินใจเอาก็เอาวะ ยังไงคงไม่ตาย อย่างน้อยโทรศัพท์ก็มีสัญญาณ เลยรอให้แดดเริ่มอ่อนๆหน่อยประมาณ 4 โมงก็เริ่มออกเดินโซโลบนทะเลทรายกันเลย
แบกน้ำดื่มไปด้วยเพราะจะเป็นทรัพยากรสำคัญในทะเลทราย เดินช่วงแรกๆก็จะง่ายๆหน่อยเพราะเป็นทางเรียบๆที่รถวิ่งเข้าออก จริงๆแล้วตรงนี้เคยเป็นเนินทรายก่อนจะเป็นทางเรียบๆแบบนี้แต่ฝนที่ตกปีที่แล้วที่ทำให้เกิดเป็นทะเลสาปนั้นทำให้เกิดเป็นน้ำท่วมที่หน้าค่ายนี่เหมือนกัน เค้าเล่าให้ฟังว่าน้ำซัดจนทรายอะไรหายไปหมดเหมือนแต่พื้นราบๆเลย ระหว่างเดินอยูก็เห็นร่องรอยของแม่น้ำที่พัดผ่านตรงนี้จากหินทรายที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการก่อตัวตามพื้นแถวนี้
การก่อตัวของหินทรายเคยฟังมาจากคุณไกด์จากชนเผ่านาวาโฮที่รัฐอริโซน่าที่อเมริกาหลายปีก่อนตอนไปเที่ยว วันนี้เลยได้โชว์ความรู้ต้องขอบคุณคุณไกด์คนนั้น
พอเลยช่วงถนนมาแล้วก็เริ่มเป็นเนินทรายย่อมๆแล้ว ตรงนี้ก็ยังถือว่าเดินได้ง่าย ทำให้รู้สึกว่าเรานี่เก่งจริงๆ เดินบนทรายไม่ค่อยเหนื่อยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ถ้าใครเคยไปทะเลทรายแบบนี้อาจจะเคยเห็นรอยเท้าเล็กๆเป็นทางไปทั่วเลย ผมก็สงสัยว่ามันรอยเท้าอะไรน้า นกหรือเปล่า หรือเป็นงู! แต่วันนี้รู้แล้วมันคือรอยของแมลงปีกแข็งที่เรียกว่า Scarab เหมือนที่อยู่ในหนังเดอะมัมมี่
ตะกี้บอกว่าเดินเก่งแล้ว ไม่ค่อยเหนื่อยเลย พูดไปไม่ถึงสิบนาทีก็เดินมาถึงตีนของ Dune ลูกใหญ่แล้ว มองขึ้นไปเห็นความชันแล้วถึงกับถอนหายใจ 555
ระหว่างทางขึ้นเนินก็ต้องพักบ้างอะไรบ้าง ได้มองออกไปที่เนินทรายด้านล่าง มันสวยซะเหลือเกิน สีทองของทรายสะท้อนแดดยามเย็นและคอนทราสจากเงามืดทำให้เกิดเส้นสายรูปร่างมากมาย
คนที่เค้าพักในเมืองก็เหมือนจะจ้างรถ 4x4 ให้ขับมาใกล้ๆได้ไม่ต้องเดินมาแบบเรา แล้วจุดสุดท้ายที่จะขึ้นถึงยอดเนินนั้นมันแย่มาก ความชันในส่วนสุดท้ายก่อนถึงยอดบวกกับทรายที่ยวบลงทำให้ทุกก้าวกลับมาอยู่ที่เดิมจนทำเอาจะยอมแพ้อยู่แล้วเพราะเดินเท่าไหร่ก็ไหลกลับมาที่เดิม
สุดท้ายตัดสินใจเอาขวดน้ำที่ถืออยู่โยนไปข้างหน้าเพื่อให้มือว่างแล้วก็เอามือทั้งสองข้างทิ่มเข้าไปในทรายจนมิดข้อมือเพื่อยึดไม่ให้เราไหลลง ตะเกียกตะกายแบบกิ้งก่าทะเลทรายเพื่อจะขึ้นไปบนยอดให้ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ฝรั่งมีอายุสองคนเค้าพึ่งเดินขึ้นไปแบบสบายๆ นี่เราเดินสู้คนแก่ไม่ได้หรือนี่ แต่ก็ยังมาถึงยอดได้สำเร็จ ในใจก็คิดว่ามันต้องคุ้มกับความพยายามแน่ๆ
และไม่ผิดหวังเลยแถมยังพูดได้ว่ามันเกินความคาดหวังไปอีก จากที่จะตายให้ได้ตอนเดินขึ้นช่วงสุดท้ายแล้วพอระดับสายตาโผล่พ้นสันทรายยักษ์นี้มองออกไปเหมือนตายแล้วขึ้นสวรรค์ ส่องกล้องย้อนแสงไปเกิดเป็นแสงสีทองขลิบอยู่ตามขอบของเนินทราย บางมุมเกิดคอนทราสจัดมากระหว่างเงามืดกับทรายสีเหลืองทองเหมือนสีกุ้งชุบแป้งทอดที่ชอบกินตอนเด็กๆ ได้ภาพสุด abstract อย่างที่ฝันไว้ ฟินไม่ไหว
มองไปทางซ้ายให้พระอาทิตย์เข้าทางขวาของสันทรายก็ยังได้ภาพสันทรายที่คมกริบเป็นเส้นโค้งซับซ้อนฉวัดเฉวียน ถ่ายรุปแบบลืมเหนื่อยไปเลย
ก่อนพระอาทิตย์ตกหันไปย้อนแสงอีกครั้งยังได้อารมณ์ที่เปลี่ยนไป คอนทราสที่อ่อนลงทำให้เห็นสีฟ้าในเงามืดมาตัดกับสีเหลืองในแสงสว่าง
พระอาทิตย์ลับไปแล้วแต่ก็ยังติดลมติดพันกับการถ่ายรูปเพราะแสงเปลี่ยนสีสันบนทรายก็เปลี่ยน หันหลังกลับเนินลูกใหญ่บังแสงอาทิตย์ไว้หมดทำให้เนินทรายเล็กๆด้านล่างอยู่ในเงาทั้งหมดทำให้ได้รับแสงแต่ที่ถูกสะท้อนมาจากท้องฟ้า ทำให้เห็นเป็นสีสันของทรายแท้จริงที่สีเหมือนปลาแซลม่อนเป็นริ้วๆเหมือนสายน้ำที่แห้งแล้ง
ขาเดินกลับก็ค่อนข้างเร่งรีบ (แต่ก็ยังต้องหยุดถ่ายรูป) เพราะฟ้าจะมืดเอาแล้วเราก็ติดภาพความน่ากลัวของทะเลทรายซึ่งก็น่ากลัวจริงๆเพราะถ้าหลงทิศละก็ไม่มีแลนด์มาร์คอะไรบอกทิศทางเลย แต่โชคดีที่เรายังมีแสงไฟจากแคมป์ช่วยนำทาง ตลอดทางภรรยาส่งไลน์หาเป็นระยะว่าแกยังมีชีวิตอยู่มั้ย พอมาถึงแคมป์ด้วยสภาพสะบักสะบอมภรรยาเล่าให้ฟังว่าคนที่ห่วงเรามากกว่าเมียคือพนักงานที่แคมป์ 555 ถ้าแกตายที่นี่พวกฉันงานเข้าแน่ๆ
คืนนี้แคมป์เค้ามีลูกค้าใหม่มาเยอะกว่าคืนแรกมาก ก็ยินดีด้วยที่เค้ามีคนมาช่วยสร้างความรื่นเริงรอบกองไฟเพราะคืนนี้กินข้าวเสร็จเราจะอาบน้ำนอนทันที โคตรเหนื่อย! และเช้าวันถัดมาหลังกินข้าวเราเลือกนั่งรถกลับไปในเมืองเพื่อเอารถออกจาก Merzouga มุ่งหน้าสู่ Ouarzazate ระหว่างทางคนขับยังจอดรถให้ถ่ายรูปต่ออีก ดูกี่ครั้งก็ไม่เบื่อจริงๆกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่ทั้งสวยงามแหละโหดร้ายแต่ก็ไม่พ้นความต้องการจะอยู่รอดของมนุษย์อีกเช่นเคย
Ouarzazate วาร์ซาเซต 3 วัน 2 คืน
วาร์ซาเซต เมืองที่ชื่อมีความหมายว่า without noise หรือ without confusion เมืองที่ไร้เสียงรบกวน ปราศจากความสับสน เป็นเมืองที่เป็นประตูสู่ซาฮาร่าแต่ว่าเราขับรถมาย้อนกลับหลังเลยทำให้เป็นประตูออกจากซาฮาร่าสำหรับเรา อย่างไรก็ตาม Ouarzazate ถูกทำให้เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ด้วยสตูดิโอถ่ายหนังหลายแห่งที่ถูกใช้โดย Hollywood
อันดับแรกระหว่างทางเราจะแวะกลางทางที่ Todgha Gorge ก่อนด้วยทั้งแวะกินข้าวและแวะดูในหุบเขาที่ว่านิดหน่อย
Tinghir
ระหว่างทางเราจะขับรถอยู่บนแคนยอนที่โอบล้อมเมือง Tinghir ที่อยู่ด้านล่าง จะเห็นว่าบ้านเรือนส่วนใหญ่สร้างจากดินและดูเหมือนร้างๆ เข้าใจว่าบ้านเหล่านี้มีคนอยู่จริงๆเพราะนี่เป็นวิถีชีวิตคนแอฟริกาที่สร้างบ้านจากโคลนผสมหญ้า แต่เค้าสร้างได้สูงอยู่นะ
Todgha Gorge
ท่ามกลางทะเลทรายหมู่บ้านจะตั้งอยู่ในหุบเขาเป็นหลักเพราะเป็นสถานที่เดียวที่แหล่งน้ำมารวมตัวกันทำให้เพาะปลูกได้ ส่วนหมู่บ้านนี้ได้น้ำที่ไหลผ่านภูเขา Atlas ที่อยู่ทางเหนือผ่าน Todgha Gorge หรือสายน้ำในหุบเหวสูง หน้าผาตรงนี้ได้เห็นคนมา rockclimbing ด้วย แต่ก็มีประมาณนี้ได้เห็นแล้วเราก็ออกรถไปต่อกันเลย
Aït Benhaddou
ขับรถผ่านทะเลทรายแห้งแล้งมาอีกไม่นานจาก Todgha Gorge เราก็เห็นเมือง Ouarzazate แล้ว เป็นเมืองใหญ่พอสมควรและใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก แต่เราไม่ได้มาค้างคืนที่เมือง Ouarzazate แต่ว่าจะไปนอนใกล้ๆในหมู่บ้านที่ชื่อว่า Aït Benhaddou ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Ksar Aït-Ben-Haddou
คำว่า Ksar (คซาร์) แปลว่าหมู่บ้านในป้อมปราการที่เห็นได้มากในทางเหนือของทวีปแอฟริกาและส่วนใหญ่จะเป็นชาว Berbers หรือ Amazigh สร้างขึ้น
Aït Benhaddou (อิท เบ็นฮาดดู) นับว่าเป็นสถาปัตยกรรมประเภทนี้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งเลยด้วยขนาดสูงใหญ่และมี Atlas อยู่ในแบ็คกราวน์ นอกจากนั้นที่นี่ยังเป็นที่ถ่ายทำหนังฮอลลีวู้ดหลายเรื่อง เรื่องดังมากๆก็อย่างเช่น The Mummy, Kingdom of Heaven, Prince of Persia, และยังเป็นฉากใน Games of Throne ด้วย
พอมาถึงก็เย็นๆแล้วเช็คอินเข้าโรงแรมที่อยู่ตรงข้ามที่มีระเบียงเห็นวิวสวยแบบนี้เลย แต่ตัวโรงแรมค่อนข้างเน่าเหมือนนอนม่านรูดเลย ยังดีที่ราคาถูกกว่าปกติมาก ดูรูปมานานก่อนมาเที่ยวพอเห็นของจริงแล้วก็อึ้งเหมือนกัน คือสร้างบ้านพวกนี้จากดินจากหญ้า
ถ่ายรูปปราสาทอยู่ซักพัก โดนแย่งซีน เมฆรอบๆก็ทำท่าแปลกๆเป็นจานบินมากมาย เลยต้องเลิกถ่ายรูปตึกแล้วไปสนใจก้อนเมฆแทน
Point de Vue Panoramique Aït Ben Haddou
เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนกินข้าวเช้าต้องขับรถไปที่จุดชมวิวใกล้ๆเพื่อมองดู Ksar แห่งนี้จากอีกมุม
หลังจากกินข้าวเช้าที่โรงแรมแล้วพากันขับรถไปเที่ยวในเมือง Ouarzazate กันเลย ที่เที่ยวหลักๆวันนี้ก็จะเป็นสตูดิโอถ่ายหนังที่ให้ค่ายหนังฮอลลีวู้ดมาเช่า ระหว่างทางก็ต้องขับขึ้นเขากันก่อน เห็นวิวไปไกลโพ้น
Cinema Museum
ในเมืองก็ค่อนข้างหนาแน่นเลยทีเดียว ที่แรกที่ไปคือ Cinema Museum อันนี้ก็ตามรีวิวของคนอื่นมาเหมือนกันและไม่รู้ว่าจะต้องคาดหวังอะไร ที่นี่มีฉากถ่ายหนังเยอะเหมือนกันนะแต่เค้าไม่ได้บอกว่าหนังเรื่องอะไรถ่ายตรงนี้บ้างแล้วเราก็ไม่ได้คอหนังขนาดที่จะรู้หมด ค่าเข้าอยู่ที่ 30 dirham การจัดการดูแลไม่ค่อยดีนะ สถานที่ต่างๆทรุดโทรมพอสมควร

ด้านในก็สำรวจเอาเอง เดินเรื่อยเปื่อยเข้าห้องนู้นห้องนี้ ห้องนี้หน้าตาเหมือนหนังแบบอียิปต์หรือโรมัน มีทั้งฉากและเสื้อผ้าที่ใส่เข้าฉาก ว่าไปแล้วฉากที่ทำลายหินอ่อนทำได้เหมือนมากเลยนะเพราะจริงๆแล้วผนังพวกนี้ทำจากปูนปลาสเตอร์เป็นส่วนใหญ่
นี่มันโลกมายาจริงๆเพราะส่วนไหนที่กล้องไม่ได้ถ่ายเค้าก็ไม่สร้าง ขนาดบัลลังก์ของจักรพรรดิยังมีแต่ข้างหน้าข้างหลังแหว่งๆเลย
ไม่รู้ทำไมนะเค้าไม่ติดป้ายอธิบายไว้ให้หน่อยว่าฉากไหนถ่ายเรื่องอะไร แต่ดูแล้วหนังน่าจะเก่ามากๆ
นอกจากนั้นก็ยังมีห้องจัดแสดงอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เครื่องอะไรบ้างก็ไม่อาจทราบได้เพราะเค้าไม่ได้อธิบายอะไรเลย บางอย่างก็ดูออกว่าเป็นกล้องเป็นพร๊อพอะไรแหละนะ
เอาเป็นว่าตรงนี้ผมว่าถ้าไม่ได้มีหนังที่ชอบก็ข้ามไปก็ได้นะ มันโทรมมันขาดการบำรุงรักษามาก
ออกมาด้านนอกก็สามารถเดินไปดูของฝากได้ข้างๆพิพิธภัณฑ์มีตลาดงานฝีมือเล็กๆราคาไม่แรงตั้งอยู่
Taourirt Kasbah
Taourirt Kasbah หรือ ป้อมปราการเทาอูรีท เป็นป้อมปราการเก่าที่เคยเป็นของ Pasha ที่เป็นคำเรียกคนเจ้าใหญ่นายโตในพื้นที่แถบตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ Pasha ที่ป้อมนี้ก็เหมือนเป็นเจ้าเมืองอะไรแบบนี้ ค่าเข้าคนละ 20 dirham แต่ตอนเข้าไปแล้วมีลุงไกด์หน้าตาใจดีเดินมาคุยด้วยแล้วถามว่าอยากได้ไกด์ไหม เลยถามราคากันก่อนเพื่อความปลอดภัยแล้วเค้าขอ 120 dirham เลยคิดว่าก็น่าสนใจว่าเค้าจะเล่าอะไรให้ฟังบ้าง แล้วลุงเค้าบอกว่าถ้าไม่ชอบผลงานลุงหนูๆไม่ต้องจ่ายเงินก็ได้ แหม่ลุงก็พูดไปใครจะกล้าไม่จ่าย
ตรงนี้สวยนะครับ ดูแล้วมันก็เว่อนะที่สร้างสิ่งเหล่านี้จากดินกับหญ้าถึงแม้โครงสร้างข้างในจะใช้ไม้ แต่หน้าตามันดูน่ารักดูไม่มีพิษมีภัยดีอ่ะ
เห็นได้ว่ากำแพงบางส่วนมีรูแตกที่กำแพง ตรงนี้พังเพราะฝนตกใส่ คือพังง่ายมาก แต่ฝนคงตกน้อยมากเค้าเลยใช้วัสดุแบบนี้แบบไม่ค่อยมีปัญหา
ลุงไกด์เล่าว่า Pasha คนนี้ตอนฝรั่งเศสยึดครองโมร็อกโกเค้าก็เข้าข้างฝรั่งด้วยนะ แล้วพอฝรั่งคืนอิสรภาพให้ประเทศเค้า Pasha ก็เลยโดนขับไล่โดยรัฐบาลของโมร็อกโกเองแล้วเอาบ้านเอาวังมาทำเป็นพิพิธภัณฑ์
ลุงไกด์ระดับโปรมากคอยบอกว่ามุมไหนถ่ายรูปสวย คือผมก็รู้อยู่แล้วล่ะแต่ลุงเค้าก็รู้เหมือนกัน คนเก่งจะคิดอะไรเหมือนกัน 55 ในพื้นที่ทั้งหมดมีบ้านหลายหลังอยู่แล้วมีบ้านใหญ่ๆ 4 หลังที่เป็นของเมีย Pasha บางบ้านก็จะสวยกว่าบ้านอื่น สงสัยบ้านนี้ของเมียคนโปรด ตึกรามบ้านช่องเค้าเหมือนมีหน้ามีตาของตัวเอง อ้าปากทำหน้าเหวอ น่าร้าก ลุงไกด์ก็นินทาขุนนางในอดีตฉ่ำ เมียเยอะไม่รู้จักพอ สะสมสมบัติรีดไถชาวเมืองชาวบ้านลำบาก เข้าข้างต่างชาติจนชาวเมืองก่นด่าก็ยังหน้าด้าน โอ้ยแซ่บ โชคดีของลุงที่ Pasha ไม่มีอำนาจแล้ว
จริงๆก็ดาร์คนะ ประตูเล็กๆเตี้ยๆคือเป็นห้องพักของทาส คือประตูมันเตี้ยเหมือนประตูบ้านหมาเลยอ่ะ แล้วคนก็ต้องอยู่อย่างนั้น โหดร้าย
บ้านเค้าขึ้นดาดฟ้าได้ด้วยทำให้เห็นเขา Atlas ไกลๆ ทางเดินขึ้นจะแคบมากเดินหัวโขกไปหนึ่งที
ส่วนนึงยังเป็นที่ฝังศพบรรพบุรษไว้กราบไหว้ด้วย รอบๆนี้ก็ยังเต็มไปด้วยหอสังเกตการณ์หน้าตาตื่นตระหนก มีอันนึงหน้าเหมือนนกฮูกด้วย บ้านน่ารักดูเหมือนสวนสนุก
ระหว่างเดินอยู่ลุงไกด์ชี้ให้เห็นว่าไอหนูนี่ไงเค้ากำลังบูรณะวังอยู่ เค้าก็ชี้ให้เห็นว่าช่างต่างๆเค้ายังคงใช้เทคนิคการก่อสร้างดั้งเดิมเพื่อรักษาภาพลักษณ์เดิมให้เห็นถึงความสวยงามในอดีต ก้อนอิฐที่กองอยู่คือดินโคลนผสมหญ้าเพื่อให้จับเป็นก้อนและตากแดดให้แข็ง ภูมิปัญญาชาวบ้านมากๆ

ทัวร์จบลงแล้วพอใจผลงานของลุงไกด์มากๆเลยทำการจ่ายเงิน อารมณ์ดีมากลุงแนะนำให้ซื้อผ้าพันคอก็ซื้อ 555 โดนตะล่อมไม่หยุด

Atlas Studios
พอเที่ยว Kasbah จบไปกินข้าวตามร้านที่ลุงไกด์แนะนำ โหราคาถูกมากแล้วอร่อยด้วย ถูกแบบครึ่งราคาของร้านที่กินมาตลอดทริป ร้านนี้หาได้ใน Google Maps ว่า Restaurant Toudgha พอกินแล้วก็ไปที่ต่อไปเป็นอีกสตูดิโอถ่ายหนัง อันนี้ชื่อดังกว่าอันก่อนหน้านี้เยอะและจัดการได้ดีกว่าร้อยเท่าแต่ก็มีค่าเข้าที่แพงกว่าเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าจัดการดีกว่าถึงขนาดมีแผนผังของพื้นที่ด้วย มีหนังที่รู้จักหลายเรื่องอยู่นะ ค่าเข้าที่นี่ราคา 80 dirham การเดินเที่ยวจะเข้าไปเดินดุ่มๆเองไม่ได้เลยนะครับเพราะที่นี่ยังใช้ถ่ายหนังอยู่แล้วบางทีเค้าก็มีความลับให้เราไปเห็นไม่ได้เดี๋ยวหนังโดนสปอย จะต้องเดินตามไกด์ไปตลอด พอเดินจบทัวร์ไกด์จะเรียกร้องให้จ่ายทิปตามปกติ เดินเข้ามาซื้อตั๋วแล้วก็ต้องนั่งรอรอบทัวร์อยู่ประมาณนึง พอออกมาก็จะได้เจอกับรถที่ใช้ถ่ายหนังต่างๆ แบบระเบิดทิ้งได้ไรได้ รถบัสเก่าๆที่เห็นใช้ถ่ายซีรี่ย์ Prison Break ด้วยนะ
มาถึงฉากถ่ายหนังแบบอียิปต์ ไกด์บอกว่าพวกตัวหนังสือเฮียโรกลิฟฟิกเหล่านี้มันมั่วทั้งนั้น 555
ตลาดอะไรนี้หน้าตาดูสมจริงมากแต่มีแค่เปลือก ฉากนี้ใช้ในหลายเรื่องเลยเช่น Gladiator หรือ Aladdin เวอร์ชั่นคนแสดง
เดินไปต่อได้เห็นฉากถ่ายหนังเรื่อง Kingdom of Heaven และ Games of Throne ไกลๆ อันนี้เค้าไม่ให้เข้าไปดูใกล้ๆน่ะสิ
หนังเกี่ยวกับอียิปต์มาถ่ายที่โมร็อกโกเยอะมากนะเพราะภูมิประเทศคล้ายๆกัน อย่างฉากนี้ถ่ายเรื่อง Cleopatra ตรงนี้ตาไกด์โชว์เทคนิคถ่ายทำภาพยนตร์ด้วย ฉากนี้ดูสวยงามใหญ่โตสุดเลย
ฉากสุดท้ายของเรื่อง Kundun ที่เป็นหนังชีวประวัติของดาไลลามะท่านหนึ่ง ที่มาถ่ายตรงนี้เพราะที่โมร็อกโกมีแบ็คดรอปเป็นเขาหิมะอย่าง Atlas ฉากที่นี่ก็จะเลียนแบบธิเบต
Aït Benhaddou
จริงๆมีสตูดิโอถ่ายหนังอีกที่นึงแต่ว่าพอแล้วล่ะ หลังจากกลับมานอนพักที่โรงแรมแป๊บนึงยามเย็นเราไปเดินขึ้นเขาที่ Ait Benhaddou กัน ทางเดินไปก็เป็นกำแพงดินแบบนี้ได้อารมณ์เก่าๆ มีร้านขายของที่ระลึกเรียงราย
การเดินเข้าแนะนำว่าอย่าไปเดินเข้าทางที่เห็นในรูปข้างบนนี้เพราะมีคนแถวนี้ยืนคอยไถเงิน วิธีเข้าให้เดินไปทางขวาจากตรงนี้ซึ่งจะมีป้ายอยู่ ตรงนี้ไม่เสียเงิน

เข้ามาถึงแล้วจะเห็นบ้านดินเป็นชั้นๆขึ้นไปติดกันเป็นพรืดสวยมาก เหมือนที่เคยเห็นในหนังที่มีเมืองป้อมปราการอยู่ริมผา บ้านตรงนี้ไม่เหมือนหน้าคนเท่ากับ Kasbah ก่อนหน้านี้ก็มีลวดลายตามผนังละเอียดกว่ามาก ระหว่างเดินขึ้นด้านบนผมก็ชอบเดินซ่อกแซ่กไปซอยนู้นซอยนี้แล้วเดินไปเจอเข้ากับทางขึ้นที่ชาวบ้านเอาไม้มาขวางไว้ทำให้ต้องเดินทะลุบ้านเขา แล้วก็พยายามเก็บเงิน แต่เราไม่ได้จ่ายแล้วเดินไปหาทางอื่นซึ่งก็ขึ้นได้เหมือนกัน คือจะหาเงินกันง่ายแท้
ถ้าไม่อยากหลงทางง่ายนิดเดียวคือให้เดินไปตามทางที่มีร้านค้าเพราะชาวบ้านมาดักรอนักท่องเที่ยวตลอดสองข้างทาง เดินไปจนถึงด้านบนแล้วจะมองไปเห็นได้ไกลทุกทิศทาง
ทางที่โดนไถตังค์โดยชาวบ้านจะต้องตะเกียกตะกายแบบคนข้างล่างนี้เลย ส่วนทางเดินปกติที่เดินฟรีเดินสบายๆ อย่าไปเสียรู้ให้คนพวกนี้กันเลย

อาคารบนยอดที่ดูเหมือนจะพังมิพังแหล่ คนส่วนใหญ่มาตรงนี้ก็มาดูวิวดูพระอาทิตย์ตกกัน
ส่วนวิวรอบด้านจะเห็นทั้งหมู่บ้านดิน เห็นภูเขาหิมะไกลๆ ภูเขาหินทรายแห้งแล้ง
เดินเตร็ดเตร่ซักพักก็มายืนรอพระอาทิตย์ตกกัน
Viewpoint Aït Ben Haddou
เช้านี้ก่อนออกเดินทางจากเมืองนี้เดินออกไปดูอีกจุดชมวิวที่อยู่ใกล้ๆกับ Ait Ben Haddou ที่เป็นเนินต้องเดินขึ้นไป ช่วงที่ไปนี้เค้ากำลังถ่ายทำภาพยนตร์ (ที่ไม่ได้แปลว่าไปอึ) กันอยู่เลย โซนนี้เค้าปิดล้อมรั้วทึบๆไว้กลัวคนเห็นหนังก่อนฉายจริง เรื่องที่ถ่ายทำอยู่คือ The Oddyssey ที่จะเข้าฉายปี 2026 เป็นหนังตำนานเทพเจ้ากรีกที่ Christopher Nolan เป็นผู้กำกับ
ตอนที่เดินไปถึงมีคนโมร็อกโกมาพอดีแล้วเห็นเค้าไปคุยต่อรองกับคนงานเฝ้ากองถ่ายแล้วปรากฎเค้าจะเดินเข้าไปกันเราก็เลยไปทำเนียนๆ ตอนแรกจะไม่ให้ไปเลยถามไปว่าทำไมคนนู้นเข้าได้หรอ เค้าเลยบอกเออเอ็งเข้าไปเถอะแต่ว่าอย่าถ่ายภาพกองถ่ายไปนะ หลังจากอยู่บนยอดเนินไปซักพักก็มีคนงานเดินมาไล่ให้ลง ถามคนโมร็อกโกที่ตามเข้ามาว่าเกิดไรขึ้นหรอพี่ชาย เค้าบอกว่ากองถ่ายจะเริ่มทำงานแล้วเราเลยต้องออก ตอนนี้ Christopher Nolan ก็อยู่ตรงนี้ด้วย เราก็พยายามมองหาใหญ่แต่ก็ไม่เห็นเลย :(
ถึงเวลาเดินทางออกจาก Ouarzazate และมุ่งหน้าสู้ Marrakesh ออกกันไวหน่อยเพื่อจะได้มีเวลาช่วงบ่ายที่ Marrakesh แต่ว่าขับรถไปได้ 20 นาทีก็ขับรถยังไงไม่รู้ล้อข้างนึงไหลออกไปไหล่ทางที่ค่อยข้างสูงแต่ก็ชักรถกลับมาได้ ที่ไหนได้ยางแตก! ทีนี้ก็ตื่นเต้นเลย โชคดีมากที่ยังห่างจากเมืองไม่มาก เอารถจอดข้างทางแล้วถามนักเรียนที่กำลังเดินไปโรงเรียนว่าน้องๆพี่ยืมโทรศัพท์โทรหาบริษัทเช่ารถได้มั้ย น้องเลยบอกว่าพี่ชายไปคุยกับตำรวจที่ตั้งด่านอยู่ตรงโน้นเลย
พอไปหาตำรวจเค้าก็มาช่วยดูเป็นการใหญ่ ดูอยู่คนเดียวซักพักก็ไปโบกรถชาวบ้านมาช่วยเปลี่ยนยางด้วย เกรงใจโคตรๆ แล้วเค้าก็โทรคุยกับบริษัทเช่ารถให้แล้วบอกว่าให้เอารถไปเปลี่ยนยางที่ออฟฟิศของบริษัทเช่ารถในเมือง Ouarzazate ยางสำรองที่เค้าเปลี่ยนให้เป็นแบบยางอ่อนมากแล้วขับได้ช้าๆ พอไปถึงรับรู้ค่าใช้จ่าย 1,800 dirham จัดไปจุกๆเพราะประกันไม่รวมยาง ใครจะไปคิดว่ายางจะแตกน้อ ขับแต่บนถนน
พอเปลี่ยนยางแล้วก็นั่งทำสมาธิลบความรู้สึกหงุดหงิดกับตัวเองออกแล้วขับรถต่อไปเพื่อมุ่งหน้าสู่ Marrakesh
Marrakesh มาร์ราเกช 3 วัน 2 คืน
เส้นทางสู่มาร์ราเกชน่าตื่นเต้นมากเพราะต้องขับผ่าน mountain pass หรือทางข้ามเขาสูง ที่อยู่ในเทือกเขา Atlas
จุดจอดที่เห็นในรูปด้านล่างก็จะมีตามนี้สำหรับคนที่อยากจอดที่เดียวกันครับ
พอใกล้ๆถึงมาร์ราเกชเข้าไปทุกทีก็จะเห็นว่าหิมะเริ่มหายไปแล้ว ตรงนี้แวะได้โดยการปักหมุดตรงนิ https://maps.app.goo.gl/JehzbjG44MTQ4WpY6
Riad Le Limoun
มาถึงมาร์ราเกชแล้ว การขับรถในเมืองก็ปวดหัวพอสมควรแต่ไม่เกินความสามารถคนกรุงเทพแน่นอน แต่ความงงที่สุดคือการจะเอารถเข้าไปจอดในโซน medina เพราะ Google Maps จะงงมาก เราแก้ปัญหาด้วยการจอดไว้ซักที่นอก Medina ก่อนแล้วเดินเท้าเข้าไปสำรวจว่าจะเอารถเข้าไปที่จอดรถทางไหนได้บ้าง ถึงจะลำบากแต่สุดท้ายเราก็ได้จอดที่ข้าง Bab Doukkala Mosque ที่อยู่ใกล้โรงแรมที่สุด พอจอดแล้วตกลงค่าใช้จ่ายกัน คนที่เฝ้าที่จอดบอกมีบริการรถซาเล้งไปส่งกระเป๋าที่โรงแรม แน่นอนก็ให้ทิปไปเหมือนเดิม โรงแรมก็จะอยู่ในซอยลึกพอสมควรแต่ในซอยมีโรงแรมอยู่เยอะมาก เหมือนว่าการอยู่ medina ยังไงก็ต้องเดินซ่อกแซ่กเพราะมันเป็นสถาปัตยกรรมในแบบ Morocco ที่ต้องสร้างบ้านติดกันเป็นพรืด
โรงแรม Riad Le Limoun น่ารักมากๆ แล้วเค้าให้เราได้ห้องที่อยู่ชั้นดาดฟ้าเลย เปิดประตูออกมาบรรยากาศดีฝุดๆ มีอ่างจากุ๊ชชี่ มีโต๊ะนั่งกินข้าวดูวิวได้ ซึ่งวิวนี้เองเป็นสาเหตุที่เราจอง Riad นี้เดี๋ยวเช้าพรุ่งนี้จะตื่นขึ้นมาดูวิวพร้อมพระอาทิตย์กัน
พอเช็คอินแล้วพักผ่อนอาบน้ำให้สบายตัวนิดหน่อยแล้วก็ออกไปเดินเล่นในเมืองกัน พนักงานทำการแนะนำที่เที่ยวอย่างละเอียดดีมาก เราเลยตัดสินใจว่าจะเดินเที่ยวเต็มๆพรุ่งนี้ทีเดียว วันนี้ก็เดินเตร็ดเตร่นิดหน่อยก่อนไปหาข้าวกินที่จตุรัส Jemaa el-Fnaa
ทั้ง medina ของ Marrakesh เค้าเป็นสีแดงเพราะในอดีตการสร้างเมืองมีการใช้โคลนสีแดงที่หาได้จากที่ราบใกล้ๆเมือง โคลนพวกนี้มีแร่เหล็กอยู่มากทำให้สีออกเหมือนสนิมๆ แน่นอนตึกที่บูรณะใหม่ก็มีการใช้สีสมัยใหม่กันบ้างเพื่อความสะดวก
ด้วยความที่ใน medina ถนนแคบมากรถใหญ่จึงเข้ามาไม่ได้ แต่ชาวบ้านก็ยังขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา ทำเอามลพิษคละคลุ้งในอากาศมากจนเห็นลำแสงจากแดดที่ส่งลงมาจากข้างบน ดูฟุ้งดูเพ้อฝัน แต่ของจริงเหม็นควันนะจ๊ะ
นอกจากมอเตอร์ไซค์เค้าก็ใช้ลาลากรถในตลาดด้วย แบบย้อนยุคสุดๆ นอกจากนั้นนักท่องเที่ยวยังเยอะที่สุดที่นี่ด้วย เดินๆไปถ่ายรูปแล้วบางที่พวกพ่อค้ามายืนหน้าร้านก็ตะโกนต่อว่าเราว่ามาถ่ายรูปคนโมร็อกโก โอ้ยสูใครจะอยากถ่ายรูปแก ฉันถ่ายถนนที่สวยงาม ทริคที่ดีคือทำท่าจะถ่ายรูปก่อนแล้วเอากล้องลงจนคนแถวนั้นรู้ตัวเค้าจะเดินออกจากเฟรมไปเอง ส่วนใครไม่ไปก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร บางทีแถวนั้นมีตำรวจก็จะเข้มเป็นพิเศษ แต่พอให้ดูในกล้องว่าหน้าพี่ยังมองไม่เห็นเลยเล็กกระจึ๋งนึงเค้าก็ปล่อยไป
Souk Zrabi
ทั่วทั้งเมืองก็ยังมีคาเฟ่ที่มีบริการที่นั่งบนดาดฟ้าสำหรับคนชอบดูวิวยามนั่งพักผ่อนดูคนทำการค้ากันด้านล่าง ตรงนี้มี Souk Zrabi ที่มีพรมมากมายพาดบนตึกให้ลูกค้าเข้ามาเลือกดู แต่เราได้มาแล้วจากเมือง Fes ขอพอแค่นี้เถอะ
Café de France
เดินต่อจากที่ก่อนหน้านี้ก็จะได้เจอกับคนมากมายที่จตุรัส Jemaa el-Fnaa บรรยากาศเหมือนตลาดนัดมีคนพื้นเมืองแสดงตีกลองร้องเพลง มีร้านอาหารแปลกที่ไม่กล้ากิน แต่ถ้าใครสายลุยก็น่าจะมาลองดู สถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวเบียดเสียดแย่งที่นั่งกันมากที่สุดคือ Café de France ร้านมีบริการทั้งกินอาหารและกินแต่กาแฟ แต่ตรงกินกาแฟหาที่นั่งยากมากเพราะคนน่าจะแห่กันมาดูวิวมากกว่ากินอาหาร แต่เราก็เลยเลือกกินอาหารซะเพราะมันเย็นพอดี มองออกไปจะเห็นมัสยิด Koutoubia และพระอาทิตย์ตกด้านหลัง ยิ่งดึกตรงนี้คนยิ่งเยอะ คนแถวนี้เค้าสนุกกันได้โดยไม่ต้องพึ่งแอลกอฮอลล์ด้วยเพราะความเป็นประเทศอิสลาม น่านับถือยิ่งนัก
คืนก่อนเดินกลับโรงแรมกัน ซอยแคบๆก่อนถึงโรงแรมเปลี่ยวๆนิดหน่อยแต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น คุณผู้หญิงอาจจะอยากพาคนมาด้วยเป็นกลุ่มเพื่อจะรู้สึกปลอดภัยขึ้น ตอนเดินตลาดก็ได้เห็นความห่วยแตกของมนุษย์อยู่บ้างเช่นผู้ชายหนุ่มแก่ catcall หรือพูดจีบเชิงคุกคามผู้หญิงนักท่องเที่ยวแบบที่เห็นแล้วขนลุกแทน ผมคิดอยู่เสมอว่าการที่ผู้ชายจะไปเข้าใจถึงความหวาดผวาความลำบากของผู้หญิงมันเป็นไปไม่ได้ และแบบนี้ทำให้เราเองก็ต้องคอยระวังตัวไม่ทำสิ่งที่มันสร้างความอึดอัดให้คนอื่นเช่นพากันไปเดินที่แปลกๆหรือเป็นพวกสามแยกปากหมาซะเอง
มาต่อกันที่เช้ารุ่งขึ้น ตื่นมาแล้วสบายมากเพราะไปตั้งกล้องถ่ายรูปไว้หน้าห้องแล้วกลับมาแอบในห้องอากาศอบอุ่นได้ ยามเช้าแสงอ่อนๆพร้อมเสียงเรียกสวดมนต์จากมัสยิดมันได้บรรยากาศเหมือนในหนังย้อนยุคมาก อย่างเท่เลยอ่ะ

สำหรับวันนี้ทั้งวันคือการเก็บที่เที่ยวสำคัญของมาร์ราเกช เอาแบบวันเดียวจบเช้ายันเย็น สถานที่ที่จะไปก็มีตามนี้
Le Jardin Secret
Dar El Bacha Museum
Almoravid Koubba
Madrasa Ben Youssef
Bahia Palace
El Badi Palace
Saadian Tombs
Le Jardin Secret
อดีตที่แห่งนี้เป็นบ้านของผู้ทรงอำนาจของโมร็อกโกที่ถูกสร้างมาแล้วกว่า 400 ปี บ้านและสวนนี้ถูกทิ้งร้างปรักหักพักอยู่นานจนรัฐบาลโมร็อกโกทำการบูรณะขึ้นมาใหม่ในช่วงกลางของศตวรรษที่ 19
ทุกวันนี้เป็นสวนแบบอิสลามที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาเดินชมนั่งพักผ่อนหย่อนใจด้วยค่าเข้า 100 dirhams
ด้านในส่วนเต็มไปด้วยต้นส้มและเลม่อนกับอาคารที่ประดับด้วยศิลปะแบบโมร็อกโก อากาศยามเช้าเย็นสบายมาก ที่สวนนี้ยังมีเทคโนโลยีการประปาสมัยโบราณที่เป็นการหักเหสายน้ำธรรมชาติจากเทือกเขา Atlas และน้ำใต้ดินมาบำรุงสวนในบ้านแห่งนี้ วิธีการเดียวกันก็ช่วยสร้างแหล่งน้ำให้แต่บ้านผู้มีบารมี ให้มัสยิดและโรงอาบน้ำทั่วเมือง การมีแหล่งน้ำในบ้านเองนับเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งในอดีตเลยทีเดียว
อาคารหลังใหญ่ของในสวนสามารถเดินไปชั้นบนได้ซึ่งเป็นคาเฟ่บรรยากาศดีในยามเช้าแดดอ่อนๆ นอกจากนี้ยังมีทางเดินเพื่อขึ้นไปบนหอคอยของบ้านนี้ด้วยแต่ต้องเสียเงินเพิ่มอีก 40 dirham ไม่เป็นไรเราดูตรงนี้ก็สวยแล้ว แสงเขาที่สาดส่องทำให้เกิดคอนทราสสวยมาก
Dar El Bacha Museum
Dar El Bacha คือแลนด์มาร์คสำคัญมาของเมืองมาร์ราเกช เป็นพระราชวังที่ยืนหยัดมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 และเป็นที่รวบรวมสุดยอดสถาปัตยกรรมและศิลปะในแบบโมร็อกโก
การจะเข้าต้องเสียเงิน 70 dirham และต่อคิวอยู่ประมาณ 20 นาที คนมาที่นี่เยอะมากนะ
สาเหตุที่คนเยอะมากเพราะเค้ามีร้านกาแฟ Bacha กาแฟยี่ห้อนี้เริ่มมีชื่อเสียงในที่ต่างๆของโลก ผมอยู่ที่สิงคโปร์มีเกือบ 10 สาขาแล้วมั้ง แต่ปรากฎว่าที่โมร็อกโกมีแค่สาขานี้ที่เดียวทั้งประเทศ หรือโมร็อกโกหลอกเราว่ากาแฟนี้ดัง ถ้าดังทำไมในประเทศแกไม่ดัง ตอนไปถึงแล้วก็กะว่าจะไปลองกินที่ต้นสังกัดแต่พนักงานบอกโต๊ะเต็มค่าคุณพี่ อยากกินต้องรอ 2 ชั่วโมง 555

พอไม่กินแล้วกาแฟก็เดินดูความสวยงามของพระราชวัง ตรงที่เป็น courtyard ปลูกส้มมีตึกรายล้อมลวดลายวิจิตรงดงามมากทั้งงานแกะสลักไม้สน และงานกระเบื้องโมเสกเป็นลวดลายเรขาคณิตในแบบฉบับของศิลปะอิสลาม
ด้านในอาคารรอบๆสวนเป็นห้องนิทรรศการที่มีโบราณวัตถุสวยงามอยู่มาก บางห้องก็มีความเหมายเช่นห้อง Hammam หรือโรงอาบน้ำ โมร็อกโกนี่เป็นประเทศแห่งหน้าต่างประตูสวยๆจริงๆ
ด้านในพระราชวังยังมีอีกส่วนที่เป็นบ้านสไตล์โมร็อกโกที่ลวดลายระยิบระยับทุกอณูของผนัง เหมือนว่าเห็นที่ว่างแล้วจะขาดใจตายเลยต้องสลักลวดลายลงไปทั้งปูนปลาสเตอร์และไม้เซด้าร์ ส่วนนี้ได้รับแดดเฉียงๆทำให้ดูสวยงามเข้าไปอีก ห้องนี้คนไม่เยอะเท่าสวนก่อนหน้าทำให้ได้รูปสวยๆง่ายหน่อย
Almoravid Koubba
หลังได้ดูวังแล้วก็เดินหน้าต่อสู่ Almoravid Koubba ระหว่างทางก็ได้ดูเมืองที่แสนวุ่นวายแต่เต็มไปด้วยตัวตนและประวัติศาสตร์ของผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองในกำแพงนี้
Almoravid Koubba เป็นตึกรูปโดมในรูปแบบสถาปัตยกรรมอัลมอราวิดหนึ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในโมร็อกโก จักรวรรดิอัลมอราวิดเคยทรงอิทธิพลมากเพราะในพื้นที่โมร็อกโกและตอนใต้ของสเปนในอดีตช่วงศตวรรษที่ 11 และ 12 ราชวงศ์อัลมอราวิดยังเป็นคนพื้นเมืองแท้จริงหรือชาว Berber อีกด้วย น่าจะเป็นสาเหตุที่ตึกหน้าราเรียบๆนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มาก บางทีการไปเที่ยวโดยไม่รู้ประวัติศาสตร์ก็ทำให้เราไม่สามารถเข้าใจความสำคัญของที่นั้นๆได้

Madrasa Ben Youssef
อยู่ใกล้ๆกันนี้เองคือ Madrasa Ben Youssef ถ้าใครอ่านตอนที่แล้วก็จะรู้ว่า Madrasa นั้นคือโรงเรียนที่อยู่ติดกับมัสยิดที่มีชื่อเดียวกัน Madrasa นี้นับเป็นสุดยอดของสถาปัตยกรรมโมร็อกโกเลยทีเดียว จะเห็นได้ว่าตามคติของโมร็อกโก ด้านนอกอาคารจะต้องดูเรียบๆแต่ซ่อนความอลังความวิจิตรไว้แต่ภายใจ
ค่าเข้าที่นี่ราคา 50 dirham ซึ่งไม่แพงเลยกับงบประมาณที่ต้องใช้ในการบูรณะสถานที่ขึ้นมาจากที่เคยถูกทิ้งให้รกร้าง ยิ่งก้าวเท้าเข้ามาเห็นด้านในแล้วมันยิ่งว้าว สวยงามอะไรเบอร์นี้คุณท่าน นึกภาพถ้าเป็นนักเรียนสมัยก่อนการได้กินนอนที่นี่เหมือนอยู่ในรีสอร์ทห้าดาวก็ว่าได้ ด้านในประกอบด้วยสระน้ำกลาง courtyard และห้องสวดมนต์ในแบบอิสลาม ส่วนชั้นสองก็จะเป็นห้องพักของนักเรียนที่เราเดินขึ้นไปดูได้เหมือนกัน
พาดูชั้นสองที่เป็นห้องนอนหอพักกัน ที่นี่การจำลองการจัดห้องแบบในอดีตให้เราได้เห็นภาพความเป็นอยู่ของคนที่นี่กันด้วย ห้องนอนก็ขนาดเหมือนหอพักนักเรียนสมัยนี้เลย โลกหมุนไปหลายร้อยปีชีวิตเด็กหอก็ยังลำบากเหมือนเดิม 55 นักท่องเที่ยวจะชอบโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างห้องนอนให้เพื่อนถ่ายรูปให้จากอีกฟาก
Bahia Palace
ออกจาก Madrasa มาแล้วที่ต่อไปต้องเดินค่อนข้างไกลเลย เดินผ่านตลาดถนนที่งงงวยนี่แหละ ถ้าทุกคนอ่านตอนที่ 1 มาแล้วจะจำได้ว่าครั้งก่อนที่เดินในตลาดเมือง Fes เราโดนหลอกไถเงินโดยคนพื้นที่ แต่ที่เมืองนี้เราไม่โดนเลยนะ ถือว่ารู้สึกปลอดภัยกว่ามากเลย เหมือนเค้าไม่ต้องดิ้นรนหาเงินกับนักท่องเที่ยวมากเพราะคนมาเที่ยวเมืองนี้เยอะที่สุดเลยทำให้เราได้เดินดูของถ่ายรูปได้แบบไม่ต้องกังวลว่าจะโดนพ่อค้ากดดัน หรือไม่ต้องกลัวที่จะเดินมั่วเดินหลงแล้วจะมีคนมาหลอกเอาเงินด้วยการทำเป็นมาช่วยเหลือ
เดินมาเกือบ 15 นาทีก็มาถึงทางเข้า Bahia Palace ค่าเข้าที่นี่เสียหายอีก 70 dirham ที่เที่ยวที่มาร์ราเกชนี่ค่าเข้าแพงใช่เล่นเลยนะ
วังนี้ถูกสร้างขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 แล้วก็ถูกต่อเติมอยู่เรื่อยมาจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 ผู้สร้างตั้งชื่อวังตามชื่อเมียตัวเองแล้วด้านในยังมีฮาเร็มด้วย เมียน่าจะดีใจ 555

เข้ามาด้านในก็จะได้พบกับ Riad เหมือนกับวังก่อนหน้า Riad คือรูปแบบบ้านที่มีสวนอยู่ตรงกลางล้อมด้วยอาคาร จะต่างจาก Dar ในห้องถัดไปที่เป็นบ้านเหมือนกันแต่ Dar จะเป็นแค่ห้องโถงกลางบ้านที่ด้านบนรับแสงธรรมชาติ
ส่วนนี้เองที่เป็นฮาเร็ม ลานตรงนี้ถูกล้อมรอบด้วยห้องกว่า 80 ห้องที่เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่านางสนมและหญิงสูงศักดิ์ในตระกูลสุลต่าน คำว่าฮาเร็มมีความหมายที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นที่ผู้ชายเอาไว้เก็บเมียและเมียน้อยโดยเฉพาะ แต่จริงๆฮาเร็มก็เป็นที่อยู่ของแม่ย่ายายป้าน้าอาของวงศ์ตระกูลและยังเป็นที่อยู่ของสาวใช้ในวังด้วย ส่วนนางสนมพูดง่ายๆก็คือเมียน้อยตามกฎหมาย นางสนมจะขึ้นมาเป็นใหญ่ได้ก็คือต้องมีลูกชายให้สุลต่าน สุลต่านบางคนมีเมียหลายร้อยคน ฟ้าเหลืองหรือไม่
ด้านในตกแต่งอย่างสวยงามตามท้องเรื่อง ดูแล้วได้อารมณ์เหมือนไปเที่ยววัดในประเทศไทยเหมือนกันที่มีการวาดลวดลายบนฝาผนังมากมาย
El Badi Palace
ไม่ไกลจาก Bahia Palace ตั้งอยู่ซึ่ง El Badi Palace ซากของพระราชวังสมัยศตวรรษที่ 16 ในราชวงศ์ Saadi ที่ปกครองแผ่นดินที่เป็นโมร็อกโกในปัจจุบันบางส่วนในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งตอนนี้เหลือแต่โครงสร้างเนื้อใน สิ่งประดับตกแต่งด้านนอกเสียหายไปหมดแล้วแต่ยังคงเหลือสระน้ำและสวนส้มที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งวังนี้ก็คือฮาเร็มของสุลต่านในราชวงศ์ ว่ากันว่าที่นี่มีหญิงสาว (และไม่สาว) อาศัยอยู่กว่า 500 ชีวิตในช่วงเวลาหนึ่ง
Saadian Tombs
เดินออกมาจากวังเก่าที่ต่อไปคือ Saadian Tombs ที่เป็นสุสานของตระกูล Saadi หรือเรียกว่า necropolis ก่อนจะถึงได้และกินน้ำพักเหนื่อยเพราะแดดเริ่มแรงมากและขาเริ่มเมื่อย ร้านนี้มีที่นั่งดาดฟ้าให้ดูวิวได้อีกเหมือนกัน ร้านนี้ชื่อว่า Tamrakcht ไม่ได้มีอะไรพิเศษแต่เผื่อใครชอบวิวนี้นะครับ
ค่าเข้าเสียหายไปอีก 70 dirham ด้านในพื้นที่ไม่ใหญ่มากนะครับแต่ว่ามีความสวยงามตามท้องเรื่อง ที่นี่คนไม่เยอะเลยเพราะเริ่มไกลจากใจกลางเมือง ถ้าชอบก็สามารถนั่งพักผ่อนหย่อนใจข้างในได้ถ้าไม่ติดว่าที่นี่คือสุสาน 555
จุดสุดยอดของสุสานเค้าคือห้องนี้ที่ด้านในเป็นสีขาว เป็นห้องสไตล์โมร็อกโกแต่แค่ด้านล่างที่เป็นหินรูปสามเหลี่ยมเป็นหลุมศพ ความสวยงามในแบบโมร็อกโกที่ผนังห้ามมีที่ว่างแม้แต่นิดเดียว
หมดแล้วที่เที่ยว เหนื่อยและเมื่อยใช้ได้เลย ขาออกมาต้องเดินผ่านตลาดอีกครั้งเพื่อกลับโรงแรม ออกมาเห็นแท็กซี่จอดเป็นแถบแล้วคนฉุดกระชากแย่งแท็กซี่กันใหญ่เลย ไม่รู้เค้าขาดแคลนอะไรเพราะเห็นจอดอยู่เพียบ

ระหว่างทางเดินผ่านมัสยิด Koutoubia ที่เค้าไม่ให้เราเข้าเพราะเราไม่ใช่มุสลิม เดินดูข้างนอกแล้วรู้สึกกังวลเพราะเค้าทำตาถลนใส่

กลับโรงแรมพักผ่อนล้างหน้าล้างตัวเรียบร้อย เย็นนี้เดินไปกินข้าวที่ร้านใกล้ๆสวยๆที่ M Bacha Restaurant ร้านนี้มีขายซูชิด้วย อยากกินมากเพราะเบื่ออาหารพื้นเมืองขั้นรุนแรง อาหารเค้าก็อร่อยนะแต่ว่ากินมาทุกวันทุกมื้อเลยน้า
Jardin Majorelle
เช้าวันใหม่หลังจากเช็คเอาท์จากโรงแรมที่ Marrakesh แล้วและวันนี้จะขับรถไปเที่ยวเมือง Essaouira ที่อยู่ไปทางทิศตะวันตกของ Marrakesh แต่ก่อนไปขอแวะที่เที่ยวแลนด์มาร์คชื่อดังก่อน ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่รวมที่เที่ยว 3 อย่างไว้ด้วยกัน Jardin Majorelle, Yves Saint Laurent Museum และ Musée Berbère Jardin Majorelle การไปต้องจองตั๋วออนไลน์ไว้ก่อนและเค้ามีแบบขายรวม 3 ที่หรือแยกซื้อแต่ละที่ไปก็ได้ ราคาแรงเว่อแล้วเอาจริงๆผมก็รู้สึกไม่ไว้ใจว่ามันจะมีอะไรให้ทำมั้ย เราไม่ใช่สายแฟชั่นด้วยจะให้ไปดูพิพิธภัณฑ์ยิบแซงลอรองไปทำไม ตั๋วจองได้ที่ลิงค์นี้เลย
สุดท้ายเลยตัดสินในซื้อตั๋วไปแค่ Jardin Majorelle ที่เป็นสวนแค่นั้น แค่นี้ราคาก็ปาเข้าไป 170 dirham
ให้ดูรูปเฉยๆละกันเพราะเข้ามาแล้วรู้สึกว่าเรามาทำไมว้า มีตึกสีน้ำเงินที่คนชอบมาถ่ายรูปกันมากมาย ที่เหลือต้นไม้ทั่วไปบ้านเราก็มีเยอะแยะ ถ้าเวลาน้อยหรือประหยัดไม่ต้องมาก็ได้ผมว่านะ
Essaouira เอสเซาอิรา 2 วัน 1 คืน
เอสเซาอิราเป็นเมืองเล็กริมทะเลที่อยู่ทางทิศตะวันตกของมาร์ราเกช ขับรถไปใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น เมืองนี้ขึ้นชื่อด้านกิจกรรม surf และเป็นภูมิประเทศที่สามารถปลูกต้น Argan ที่เดียวในโลก คนโมร็อกโกบอกอย่างภาคภูมิใจเลยว่าต้นอาร์แกนเนี่ยขึ้นได้แค่ในโมร็อกโกเท่านั้น ประหลาดมากเลยทั้งๆที่ภูมิประเทศก็ไม่ได้พิเศษไปกว่าที่ประเทศอื่นๆในแอฟริกาเหนือเลย สำหรับสายช็อปแล้วตามทางที่ขับผ่านจะมีร้านขายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นให้ลงไปดูได้ น้ำมันอาร์แกนที่ใช้ทำอาหารมีกลิ่นหอมมากเหมาะกับเป็นของฝาก
พอขับมาถึงเมืองแล้วแวะไปที่ชายหาด Plage Tagharte แวะกินข้าวก่อน พอจอดรถแล้วทำไมมันมีบรรยากาศเหมือนหัวหิน มีคนมาเรียกไปขี่อูฐเดินบนหาด หัวหินขี่ม้าแต่ที่นี่ขี่อูฐ
หลังจากกินข้าวแล้วเราเอารถไปจอดนอกกำแพงเมืองที่เป็นแบบ medina เหมือนเมืองอื่นๆ แล้วก็จ้างคนแถวนั้นให้เอาซาเล้งลากกระเป๋าเราไปที่โรงแรม Riad Kafila Essaouira โรงแรมวิวสวยมาก ให้เราไปนั่งดูวิวตากอากาศบนดาดฟ้าได้แบบนี้เลย จะว่าไปแล้วโรงแรมแถวนี้ดูน่ารักไปหมดเลย มีให้เลือกได้เยอะแยะ
นั่งดูวิวอากาศเย็นๆแล้วมันจะหลับให้ได้ เดินทางไปหลายๆที่มาเป็นเวลาสองอาทิตย์แล้วก็เหนื่อยๆหน่อย เมือง Essaouira เหมาะมากๆจะเป็นที่ให้พักกายพักใจสุดท้ายก่อนกลับบ้าน เมืองทั้งเมืองเป็นสีขาวฟ้าดูน่ารัก ถนนอะไรก็เงียบสงบ คนเมืองนี้เค้าชิวมากกว่าเมืองอื่นๆที่ไปมามากๆ ร้านขายของก็ไม่กดดัน แบบมายืนดูหน้าร้านแล้วยังไม่ออกมาขายเลย สบายใจมากๆในการหยิบจับมาดู
เดินซ่อกแซ่กไปตามซอยต่างๆที่นี่สนุกมากเพราะทุกที่ดูสงบและมีร้านมีเวิร์คช็อปงานฝีมือที่สร้างผลงานสวยงามกันเยอะมากโดยเฉพาะงานไม้ต่างๆ
Place Moulay Hassan และ Port of Essaouira Sqala
เดินๆไปเรื่อยๆก็ออกมาเจอกับจตุรัส Place Moulay Hassan ที่มีร้านอาหารเยอะเลย ใกล้ๆกันคือ Port of Essaouira Sqala
ตามประวัติศาสตร์เมือง Essaouira ก่อตั้งขึ้นราวศตวรรษที่ 18 ด้วยเป้าหมายที่อยากให้เมืองเหมาะสมกับการเป็นเมืองท่ารองรับพ่อค้าต่างชาติ การออกแบบเมืองเป็นการร่วมมือกันกับเชลยศึกชาวฝรั่งเศสสมัยนั้นด้วย แบบนี้นี่เองเมืองนี้เลยให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปจากเมืองอื่นๆในด้านสถาปัตยกรรม
Port Skala ถูกสร้างขึ้นมาในช่วงเดียวกับตอนที่เมืองถูกก่อตั้งไว้สำหรับป้องกันท่าเรือจากการโจมตีทางทะเล ปัจจุบันตรงนี้เป็นจุดจอดเรือประมงและนักท่องเที่ยวสามารถหาดูอาหารทะเลที่ชาวบ้านจับขึ้นมาได้ตรงนี้เลย แต่ถ้าเทียบตรงนี้กับตลาดปลาบ้านเราแล้วยังนับว่าห่างไกลนัก ด้วยความที่ปลาเยอะมากทำให้พวกนกนางนวลหัวขโมยมารวมหัวกันรอจังหวะบินโฉบลงมาเอาปลาไปกิน
ตรงท่าเรือนี้เองมีร้านอาหารทะเลเรียงกันอยู่ประมาณสิบกว่าร้าน ไหนๆมาแล้วเลยลองเดินไปดูว่าจะกินข้าวเย็นตรงนี้เลย พอเดินเข้าไปหน่อยเริ่มมีอาการแย่งลูกค้ากันเราก็ตามน้ำเดินๆไป พอนั่งลงเท่านั้นเห็นว่าสองร้านออกมายืนด่ากันทำท่าเหมือนจะฟาดกันหน้าร้านแล้ว นั่งกินอยู่ก็กลัวจะโดนลูกหลงน้อ ว่าแต่ว่าอาหารที่ทำนี่ไม่อร่อยเลยนะ ก็คือเอาปลากุ้งปลาหมึกมาย่างๆ ปรุงเค็มๆนิดหน่อย รสชาติบ้านๆมากนับว่าไม่กินก็ได้แล้วกัน
กินเสร็จแล้วรีบไปเพราะกลัวเก้าอี้ลอยมาโดน ด้านหน้าจตุรัสจะเป็นชายหาดมีทรายมีโขดหินที่คนแถวนี้ลงไปนั่งเล่นตากลมกัน ตรงนี้วิวสวยเลยเห็นกำแพงและเมืองสีขาวด้านหลังโดยมีโขดหินด้านหน้าเป็น foreground เลยนั่งเล่นดูวิวดูคลื่นจนฟ้ามืดได้ภาพยามเย็นเป็นภาพสุดท้ายของทริปโมร็อกโก
Rempart Mogador
เช้าสุดท้ายที่จะอยู่ที่โมร็อกโก ก่อนจะได้กลับบ้านไปนอนเตียงบ้านเราที่คุ้นเคยและถวิลหา เดินทางยาวๆแบบนี้ทำให้คิดถึงบ้านทุกที เช้านี้ก่อนเดินทางกลับไปขึ้นเครื่องบินที่โมร็อกโกไปเดินเล่นตอนเช้าที่บนกำแพงเมืองที่อยู่ใกล้ๆโรงแรมนิดหน่อย เช้าๆแบบนี้ไม่มีคนเลยทำให้น้องแมวออกมาชุมนุมวางแผนครองโลกกัน
กำแพงเมืองนี้ถูกสร้างมาพร้อมๆกับเมืองไว้ป้องกันการโจมตีทางน้ำเช่นกันและมีปืนใหญ่เรียงรายพร้อมระเบิดใส่ข้าศึก แมวแถวนี้ดูแล้วอุดมสมบูรณ์ดีขนสวยกัน แต่ก็ไม่วายเดินไปเจอเข้ากับน้องแมวเด็กตัวนึงที่ดูเหมือนเค้าตาบอดเพราะโดนนกจู่โจม น้องเดินไปไหนไม่ค่อยได้ต้องค่อยๆย่อง แล้วก็ร้องหาใครไม่รู้ตลอดเลย เห็นแล้วใจสลายมาก สงสารน้ำตาจะไหลแต่เราก็ไม่รู้จะช่วยน้องได้ยังไง ฮึบๆเอาไว้แล้วได้แต่ขอให้น้องมีคนดูแล
ขาขับรถกลับยังไม่วายโดนตำรวจเรียกเพราะเบรคไม่ทันตอนป้ายความเร็วเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนงง แต่รอบนี้มาแปลกมากเพราะตำรวจบอกว่าไอน้องถ้าไม่เอาใบเสร็จค่าปรับพี่ลดให้ 50 dirham นะ พยายามยืนยันจะเอาใบเสร็จแล้วตำรวจก็ยังยัดเยียดว่าเอามา 100 นึงแล้วไปซะ โมร็อกโกนี่มีอะไรคล้ายๆไทยหลายอย่างเลยนะ
ก่อนจบโพสนี้ได้ลองดัดแปลงบางรูปจากซาฮาร่าเป็นขาวดำแล้วมันดีก็เลยอยากโชว์อยากอวดอีกแล้ว
จบลงแล้วโมร็อกโกและการมาแอฟริกาครั้งแรกแต่จะต้องบอกก่อนว่าชาวแอฟริกาเหนือที่ส่วนใหญ่เป็นคนอาหรับนั้นแตกต่างกับชาวแอฟริกาที่อยู่ทางใต้ของซาฮาร่าหรือที่เรียกว่า Sub-Saharan Africa นั้นต่างกันค่อนข้างมาก เอาเป็นว่าได้กลิ่นอายพอสมควรสำหรับคนที่ยังไม่กล้าไปแอฟริกา
ยังไงตอนนี้ฝากเพื่อนๆกดไลค์ติดตามเพจ ถ้าใครมีแรงช่วยค่าน้ำค่าขนมได้ที่ใต้โพสให้กำลังใจด้วยน้า แล้วจะกลับมาเล่าประสบการณ์ครั้งใหม่อีกนะครับ ขอบคุณครับ
https://www.facebook.com/nopeopletravelphoto/ สำหรับตอนต่อไปคลิ๊กที่ลิงค์นี้ได้เลย! LINK
Comments