top of page
  • รูปภาพนักเขียนOpp

พาเที่ยวดูไบ + โอมาน (Dubai + Oman) ดินแดนอาหรับสำหรับคนชอบทราย

อัปเดตเมื่อ 17 เม.ย. 2566


dubai oman travel blog

เดือนที่เดินทาง - มกราคม 2023


สวัสดีครับ หายหน้าหายตาไปพักนึงเพราะต้องกลับไปทำงานเก็บเงินเพื่อจะไปเที่ยวใหม่ ครั้งนี้มีความตั้งใจจะไปหาเพื่อนที่ย้ายไปอยู่ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE เลยถือโอกาสวางแผนไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านด้วยเลยจะได้คุ้มค่าตั๋วกับเวลานั่งเครื่องบิน


ทริปนี้ใช้เวลาแค่ 7 วันเท่านั้นปลอดภัยต่อวันลาที่มีโดยที่ผมออกเดินทางจากตอนกลางคืนแล้วไปถึงตอนเช้ามืดอาศัยนอนบนเครื่องบินพอได้เพราะระยะเวลาเดินทางพอๆกับเวลานอน

สิ่งที่ควรรู้

  • หลายคนอาจจะสงสัยว่าการมาที่เอมิเรตส์และโอมานผู้หญิงนี้ต้องแต่งตัวกันยังไงเพื่อให้เหมาะสม สองประเทศนี้ถือว่าไม่เคร่งมากถ้าไม่ได้ไปสถานที่ทางศาสนาก็แค่แต่งตัวตามปกติได้เลยแต่เวลาไปนอกเมืองก็ควรใส่เสื้อผ้ามิดชิดหน่อยถ้ากลัวว่าคนเค้าจะไม่พอใจกัน

  • อาหารการกินนั้นส่วนใหญ่จะเป็นอาหารแขกๆ อินเดีย อาหรับที่เน้นไปทางเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อไก่ แป้งที่มาในรูปแบบขนมปังกับข้าวบาสมาติ (Basmati) ที่เมล็ดยาวๆเนื้อแห้งๆ แล้วก็พวกแกงกระหรี่ กินไปตลอดทริปเลยจ้า

ไฮไลท์วันที่ 1 - 4: เที่ยวดูไบ

  • Dubai Marina

  • Desert Safari

  • Burj Khalifa

  • Level 43

  • The Penthouse

ไฮไลท์วันที่ 4 - 7: เที่ยวโอมาน

  • เมืองมัสกัต (Muscat)

  • Sultan Qaboos Grand Mosque

  • เมืองซูร์ (Sur)

  • โอเอซิส วาดิ บานิ คาห์ลิด (Wadi Bani Khalid)

  • ทะเลทรายวาฮิบา (Wahiba Sands)

ตอนไปเที่ยวยุโรปก็มีโอกาสได้มาต่อเครื่องที่ดูไบบ้างแต่ก็ไม่เคยได้ออกมานอกสนามบินเลย รู้แต่ว่าตึกสวยๆเยอะกับสิ่งก่อสร้างแบบท้าทายสามัญสำนึกอะไรแบบนี้ ไปดูกันเถอะมีอะไรบ้างในเวลา 3 วันครึ่ง

 

วันที่ 1 Dubai Marina และ Desert Safari

จากที่เพื่อนเล่าให้ฟังคือดูไบเป็นเมืองที่มีคนต่างชาติอยู่เป็นหลัก เกินกว่า 85% เป็นคนต่างชาติที่มาทำงานและอาศัยที่นี่ คนที่เป็นประชากรเอมิราติจริงๆเป็นเปอร์เซนต์น้อยมากๆ คนส่วนมากจะมาจากเอเชียใต้ ประมาณประเทศอินเดีย ปากีสถาน หรือบังกลาเทศ


แผนดั้งเดิมคือจะเช่ารถขับในเมืองเพราะรู้ว่าระบบรถสาธารณะของที่นี่ยังไม่ค่อยครอบคลุมทุกพื้นที่และก็มีอยากไปถ่ายรูปแต่เช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจะได้ไม่ต้องรอรถสาธารณะเปิด แต่ผิดแผนมากเพราะว่าไม่ได้เตรียมใบอนุญาตขับขี่สากลมา คือไปมาหลายที่แล้วไม่มีใครเค้าขอดูเลย ครั้งนี้เลยชะล่าใจทำให้ที่ดูไบต้องนั่งแท๊กซี่กันพรุนมาก ถึงจุดนี้ก็คอยลุ้นตลอดเวลาว่าไปที่โอมานจะเช่ารถได้มั้ยนะ


แผนของวันนี้คือจะไปเที่ยวทะเลทราย Desert Safari แล้วก็กะว่าจะนอนค้างในเต๊นท์ด้วย แพ็กเกจที่จองไว้รวมตามนี้ และรถจะมารับช่วงบ่ายสองถึงบ่ายสามครับ

  • รถรับส่งจากโรงแรม รับ 2.30 PM ส่ง 8.30 AM วันรุ่งขึ้น

  • Dune-bashing หรือเค้าพาขับรถบนเนินทรายเลี้ยวไปเลี้ยวมาให้ทรายมันกระเด็นสูง

  • ขี่รถ ATV เล่นในพื้นที่ที่เค้าล้อมรั้วไว้

  • อาหารเย็นแบบบุฟเฟ่ต์

  • การแสดงระบำหน้าท้อง ระบำควงไฟ ระบำที่คนเต้นหมุนติ้วๆเป็นระยะเวลาหลายนาที

  • รวมบริการกางเต๊นท์พร้อมถุงนอนและบริการก่อกองไฟ

ใครที่อ่านแล้วสนใจก็ดูรายละเอียดได้ตรงนี้ครับ LINK ราคาแต่คนละ 500 Dirham ออกเสียงว่าเดียรัม หรือประมาณ 4,500 บาท แนะนำแบบนี้ ใครที่จะไปนอนค้างในทะเลทรายที่โอมานอยู่แล้วไม่ต้องไปอันนี้หรอก แล้วถ้าอยากก็แนะนำว่าไม่ต้องนอนค้างคืนก็ได้ ที่นอนก็จะนอนเต๊นท์อยู่ในรั้วค่ายของเค้าอีกที มีโอกาสได้เดินเล่นตอนเช้าดูพระอาทิตย์ขึ้นนิดหน่อย


มาถึงแต่เช้าก็เลยเอาเวลาที่มีไปเดินเล่นแถว Dubai Marina ที่ดูไบในเดือนมกราคมอากาศหนาวและลมแรงมากแต่เป็นช่วงที่ควรมาเที่ยวที่สุดเพราะเคยได้ยินว่าหน้าร้อนมานี่มันร้อนตับแล่บซะยิ่งกว่าเมืองไทยเดือนเมษาซะอีก ส่วนที่ Dubai Marina เป็นย่านคอนโดร้านอาหารมีแต่ตึกสูงสวยๆรอบเลย

ตอนนี้ยังเช้ามากก็จะเห็นแต่คนมาวิ่งออกกำลังกายกัน มีมุมสวยๆเยอะเลยแต่ว่าไม่มีเวลากลับมาเก็บตอน blue hour เหมือนทุกที จดไว้ก่อนอนาคตค่อยกลับมาซ่อมใหม่

ทีนี้จะลองเดินไปดูชายหาดก็ได้รับรู้ของผังเมืองสุดบรรลัยที่สวยมากแต่การใช้ชีวิตจริงยับมากหากไม่มีรถขับ สาเหตุเพราะว่าเค้าสร้างตึกรวมๆกันเป็นกระจุกแล้วก็เชื่อมต่อกับกระจุกอื่นด้วยทางด่วน การจะออกจากกระจุกนึงก็ต้องวนๆเยอะมาก ทำให้ระยะทางที่จริงๆอาจเดินแต่ 10 นาทีกลายเป็นครึ่งชั่วโมงแถมเดินหลงอีกเพราะเดินๆอยู่ก็เป็นทางตันซะงั้น เอาเป็นว่าเดินจนล้มเลิกเปลี่ยนไปเดินหาร้านกาแฟนั่งรอดีกว่า

คนขับรถสำหรับไปเที่ยวทะเลทรายก็คอยโทรหาอยู่ทุกชั่วโมงคอยคอนเฟิร์มเหมือนกลัวจะชิ่งแต่สุดท้ายเค้าก็มารับจริงตอนบ่ายสาม รถที่มารับเป็นรถ 4x4 สำหรับไว้ขับบนทรายแล้วก็ออกเดินทางกันเลย ขับออกมาจากเมืองแค่นิดเดียวก็เริ่มเห็นเนินทรายเยอะๆแล้ว ประมาณ 2 ชั่วโมงพี่คนขับเค้าก็จอดบอกว่าเค้าพามาทำกิจกรรมก่อนแล้วที่กินข้าวกับที่นอนอยู่อีกที่นึง

ตรงนี้นักท่องเที่ยวเยอะพอสมควรรถจอดเต็มเลย ตอนแรกคิดถึงทะเลทรายมันก็จะคิดถึงความแล้งๆคนน้อยๆแต่มาถึงแล้วเหมือนจุดจอดรถเข้าห้องนำ้นิดหน่อย ตรงนี้ก็จะมีคนมาขายผ้าโพกหัวแบบคนอาหรับแนะนำว่าให้บอกคนขับให้ช่วยต่อ เพราะผมซื้อราคาจริงแล้วคนขับเรียกมาตำหนิว่าทำไมซื้อแพงแบบนี้คุณท่าน ตรงนี้แหละที่เค้าจะพาไปขี่รถเล่นบนทรายที่เรียกว่า Dune Bashing คือก็ขับไปบนทรายแล้วเลี้ยวนู่นนี่ถ้าใครเมารถง่ายให้ผ่านไปเลยครับ อีกกิจกรรมคือขี่รถ ATV แบบขี่เล่นเองในที่ๆเค้าล้อมไว้ ที่ใหญ่พอสมควรขี่เร็วๆมีเนินมีหลุมให้ผาดโผนเล็กน้อยได้ ใครขับแล้วรถไปติดหล่มออกไม่ได้ก็มีคนคอยช่วยยกออกมาให้ไม่ต้องห่วง


พอเล่นกันจนอิ่มแล้วพี่คนขับคนเดิมเค้าก็รออยู่ตรงทางออกพร้อมขับรถพาเราไปสถานที่กินข้าวดูการแสดง ตรงนี้สามารถเดินเล่นรอบๆได้รอดูพระอาทิตย์ตกตามอัธยาศัย เป็นสถานที่แบบง่ายๆบรรยากาศคล้ายงานวัดทำให้นึกถึงวัยเด็ก ทรายที่นี่คือเล็กละเอียดมากแบบพร้อมจะเข้าไปในทุกที่แต่สัมผัสแล้วมันรู้สึกดียังไงบอกไม่ถูก เหยียบไปแล้วนุ่มเหมือนเท้าโดนดูดเข้าไปเลย

desert safari

อาหารก็จะเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ย่างเนื้อสัตว์ แกงกระหรี่ต่างๆและผักมีให้กินพอแน่นอน ส่วนการแสดงก็มีเรื่อยๆให้ดูไปด้วยตอนกินข้าว คนเยอะครึกครึ้นดีจ้า

คนที่เค้าเลี้ยงนกเหยี่ยวไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปก็มีวางนกทิ้งไว้ไปเข้าห้องน้ำแบบนี้ด้วย พอเริ่มดึกเข้าแขกที่มาก็เริ่มทะยอยนั่งรถกลับไปดูไบ มาถึงตอนนี้ถึงได้รู้ว่ามีแต่เราหรือนี่ที่มานอนค้าง คือระหว่างกินข้าวก็มองหาตลอดว่าจะนอนกันตรงไหนว้าเพราะมีแต่โต๊ะกินข้าว งงๆอยู่ซักพักพี่คนขับคนเดิมก็มาพาขับรถไปนอนอีกค่ายนึง คนขับบริการดีมากครับคอยเอากับข้าวเอาน้ำมาให้ตลอด


ไปถึงค่ายปั๊บพี่เจ้าของที่เป็นคนปากีสถานเค้าก็หาเต๊นท์มากาง เอาถุงนอนหมอนมาให้ เค้าบอกว่าไม่ต้องอาบน้ำหรอกนะเพราะมันหนาวแต่ว่าห้องน้ำเข้าได้พร้อม จุดกองไฟให้นั่งสังสรรค์กันด้วย


 

วันที่ 2 Dubai Downtown

คืนก่อนก็ลองตื่นมาเป็นมาดูนิดนึงว่าบนฟ้าดาวเยอะมั้ยแต่ว่ามันใกล้ดูไบมากๆทำให้มลภาวะทางแสงเยอะเกินไป เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นแต่เช้าไปเดินเล่นตามเนินทรายรอดูพระอาทิตย์ขึ้น ทรายที่เป็นคลื่นๆริ้วๆแบบนี้เห็นกี่ทีก็สวยเหมือนเดิม


ประมาณเจ็ดโมงคนขับรถก็มารับกลับเข้าเมือง พอไปถึงก็เอาของไปเก็บกันก่อนแล้วก็ไปเที่ยว Burj Khalifa ชื่อดังที่ทอมครูสไปปีนป่ายตอนถ่ายหนังเรื่อง Mission Impossible การจองตั๋วสามารถทำได้ที่เว็บนี้ [LINK] ได้เลยโดยการจองแพ็กเกจ At the Top, Burj Khalifa ราคาบัตรก็จะต่างกันตามเวลาที่จะขึ้นไปดูวิวโดยเวลาหลังจาก 3 โมงเป็นต้นไปจะราคาแพงกว่า

ทางเข้าลิฟท์ขึ้นตึกต้องผ่านทาง Dubai Mall ถ้าซื้อตั๋วไว้ล่วงหน้าแนะนำไปก่อนเวลาประมาณ 15 นาทีเผื่อเดินหลงเพราะห้างใหญ่มาก คิวขึ้นลิฟท์ยาวมากเลยครับแล้วต้องคอยระวังคนชอบมั่วนิ่มเดินมาแซงคิว พนักงานเค้าก็ไม่มาคอยดูแลจัดการคนแซงคิวด้วย พอขึ้นลิฟท์มาแล้วสามารถดูวิวได้รอบด้าน 360 องศาเลยครับผม ถ่ายรูปแล้วมันก็จะติดเงากระจกเล็กน้อย สามารถลดแสงสะท้อนได้โดยการเอาหน้าเลนส์ไปจ่อที่กระจกแล้วก็เอาเงาตัวเองบังเท่าที่ทำได้ มองไปเห็น The World Island เกาะที่เอาทรายไปถมกะให้เป็นรูปแผนที่โลกแต่ว่าน้ำพัดทรายหายหมดจนหมดงบเลิกทำไปแล้ว

Dubai Fountain หรือน้ำพุหน้าห้าง Dubai Mall ก็เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวมาเดินถ่ายรูปกันเหมือนกัน ตอนกลางวันนี่เดินข้างนอกไม่ไหวจริงๆ ถึงอากาศจะเย็นแดดเค้าร้อนแสบผิวแสบตามาก

พอเวลาโพล้เพล้เราไปที่ rooftop bar ที่ Level 43 กัน ตรงนี้เป็นมุมโด่งดังที่มองไปเห็นใจกลางเมืองดูไบคู่ไปกับทางด่วน ตรงนี้ตั้งขาตั้งไม่ได้แต่ว่าสามารถเอากล้องวางไว้บนกำแพงได้ไม่มีปัญหา

หลังพระอาทิตย์ตกแล้วยังไม่ดึกมาเลยไปเที่ยวต่อที่ Al Seef ที่ดูแล้วคล้ายๆกับ Asiatique ที่อาคารร้านค้าถูกสร้างให้เหมือนกับตึกอาคารแบบเอมิราติดั้งเดิมเก่าแก่เป็นที่ท่องเที่ยวกินข้าวช้อปปิ้งถ่ายรูป


 

วันที่ 3

ไม่ได้มีรูปมาให้ดูเท่าไหร่เพราะว่าวันนี้พากันไปสวนน้ำ Atlantis ที่ The Palm Jumeirah ที่เป็นอีกเกาะที่เอาทรายมาถมให้เป็นรูปต้นปาล์ม ความเห็นส่วนตัวคือสวนน้ำนี้ไม่ต้องไปก็ได้ครับ การจัดการไม่ดีสไลเดอร์พังตลอดบางทีต่อคิวไปแล้วชั่วโมงนึงเล่นไม่ได้ต้องไปต่อที่อื่นใหม่อีก ทั้งวันได้เล่นแค่ 3 เครื่องเล่นเอง


หลังจากนั้นก็เลยไปหาที่ถ่ายภาพวิวสวยๆต่อที่ rooftop bar ชื่อว่า The Penthouse อยู่ที่โรงแรม FIVE Palm Jumeirah Hotel เป็นวิวกลุ่มตึกสูงรอบๆ Dubai Marina ที่เราไปมาวันแรก ถึงจะไม่ค่อยมีอะไรให้ทำที่ Dubai แต่ว่ามุมถ่ายรูปมีเยอะมากอาจจะต้องกลับมาแก้มือในอนาคตซะแล้ว


 

วันที่ 4 เดินทางสู่ Muscat

รอเวลานี้มานานมากเพราะว่าผมเองรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เห็นภูมิประเทศแบบทะเลทราย โอมานนี้เค้ามีชื่อเสียงด้านสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงามแปลกตา หลังจากเครื่องลงแล้วก็ต้องมาลุ้นกันว่าจะเช่ารถได้มั้ยนะ จำได้มั้ยตอนที่เราไปดูไบประเทศเอมิเรตส์เค้าไม่ให้เราเช่ารถเพราะเราไม่มีใบอนุญาตขับรถต่างประเทศที่เป็นแผ่นพับสีขาวที่ต้องจ่าย 505 บาทที่สำนักงานขนส่งเพื่อได้มา


ตอนที่มารับรถเช่าพนักงานก็ถามหาเหมือนกันแต่ภรรยายืนยันว่าไปที่ไหนก็ใช้แค่ใบขับขี่สมาร์ทการ์ดไปเดิมนี่แหละ ลุงพนักงานเค้าขอโทรถามเพื่อนปล่อยให้เรายืนลุ้นอยู่สุดท้ายก็บอกว่าเช่าได้จ้า งานนี้เราเช่ารถ 4x4 มาเพราะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับขับรถออกไปที่รีสอร์ทในทะเลทราย

พอออกมาจากสนามบินก็เย็นๆพอเช็คอินแล้วเลยแวะไปดูพระอาทิตย์ตกคู่กับวิวเมืองมัสกัตยามค่ำคืนโดยการขับรถขึ้นทางข้ามเขาตามโลเคชั่นนี้เลย [LINK] ทางเข้าเค้าจะอยู่ข้างทางด่วนเป็นทางลูกรัง ถ้าเห็นแล้วไม่ต้องกังวลเพราะคนพื้นที่เค้าก็เข้ามานั่งปิคนิกกินข้าวเย็นกันด้วย

สถานที่ส่วนใหญ่ในโอมานมีภูเขาหินสูงล้อมรอบดูแล้วยิ่งใหญ่มาก อาคารบ้านเรือนเค้าก็ไม่สูงมาทำให้ตึกมัสยิดที่สูงๆดูเด่นสวยแปลกตา

 

วันที่ 5 เดินเที่ยว Muscat และขับรถไป Sur

มัสกัตนั้นเป็นเมืองเล็กๆแต่มีสถานที่เที่ยวสวยๆเยอะมาก ที่แรกที่พลาดไม่ได้และควรมาแต่เช้าคือ Sultan Qaboos Grand Mosque เป็นมัสยิดขนาดใหญ่ที่สร้างเสร็จในปีค.ศ. 2001 มีอายุกว่า 20 ปีแล้ว เป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่แบบอิสลามที่เน้นรูปสมมาตรและรูปร่างเรขาคณิต ที่นี่ไม่ต้องเสียค่าเข้าแต่ว่านักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้เฉพาะ 8 - 11 โมงเช้ายกเว้นวันศุกร์เพราะเค้ามีกิจกรรมทางศาสนากัน


การแต่งตัวทั้งชายหญิงต้องใส่เสื้อผ้าปิดถึงข้อมือและข้อเท้าส่วนผู้หญิงจะต้องมีผ้าคลุมผมด้วยครับ ถ้าใครมาไม่พร้อมเค้ามีขายที่ทางเข้าเหมือนกัน


รอบๆมัสยิดมีสวนต้นไม้ดอกไม้ พื้นหินอ่อนก็เงาแว๊บแบบเห็นเงาสะท้อนถ่ายรูปสนุกมากๆเลยนะ

ตามซุ้มประตูหน้าต่างและรวมไปถึงพื้นหินอ่อนมีลวดลายวิจิตรสวยงามมาก ลวดลายต่างๆมีทั้งรูปทรงเรขาคณิตและตัวอักษรภาษาอาหรับตามคัมภีร์อัลกุรอาน


รอบๆพื้นที่มีโถงทางเดินมากมายที่มีซุ้มประตูซ้อนกันหลายชั้นเวลาถ่ายภาพออกมาทำให้เห็นมิติความลึกของสถานที่ และยิ่งสวยกว่าเดิมเวลาที่มีแสงแดดสองมาทางด้านข้างให้เกิดเป็นเงาพาดลงมาที่พื้น

ส่วนด้านในอาคารก็สวยงามเช่นกันด้วยการแกะลวดลายบนก้อนหินที่ทำกำแพง กระจกสี ประตูไม้แกะสลัก กับการใช้กระเบื้องสี


สองภาพแรกเป็นภาพห้องสวดมนตร์สำหรับสุภาพสตรีส่วนอีกสองภาพล่างเป็นภาพจากห้องโถงสำหรับสวดมนตร์ของผู้ชาย เห็นถึงความเลือกปฎิบัติได้อย่างชัดเจน แต่ยังไงก็สวยมากจริงๆ

ทีนี้มันจะมีอยู่จุดนึงอยู่ตรงมุมๆของมัสยิดที่เราไปนั่งพักแล้วก็จะมีผู้หญิงสองคนมาคุยด้วยอย่างเป็นมิตรแล้วเค้าก็เชิญมานั่งดื่มน้ำชากินผลอินทผาลัม ทีนี้เค้าก็แบบเชิญชวนให้พูดคุยกันเรื่องอิสลามในเชิงว่าอยากให้เราถามคำถามอะไรก็ได้ ไม่ได้ดูแล้วอยากจะชวนเราเข้าศาสนาอะไรแต่จริงๆก็ไม่ได้พูดถึงอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พอกินเสร็จแล้วก็ขอบคุณแล้วก็ขอตัวออกมาดีกว่าเพราะมันดูเคอะเขินเหลือเกิน

sultan qaboos grand mosque

รวมๆแล้วเป็นสถานที่สวยงามบรรยากาศร่มเย็นดีครับ หลังจากนี้เราก็ไปเที่ยวต่อที่ Mutrah เป็นเมืองและตลาดที่อยู่ริมน้ำท่าเรือประมงและเรือสำราญ ตรงนี้เองที่มีมัสยิดสีฟ้าที่เห็นบ่อยๆในภาพเมืองมัสกัต

muscat, mutrah

แดดร้อนแผดเผาเป็นอย่างมากทำให้ต้องถ่ายรูปแล้ววิ่งหลบแดดไปมาจนได้ภาพที่ชอบ 555 ถ่ายภาพนี้จอดรถที่ตลาดปลาได้เลยครับแล้วก็เดินไปที่ตลาด Mutrah Souq ได้ นักท่องเที่ยวเยอะเลยตรงนี้ของที่ขายก็มีตั้งแต่อาหาร ของที่ระลึกแล้วก็ของใช้จิปาถะของคนทั่วไป

เดินไปเดินมาก็ไปโผล่หลังตลาดมีบ้านเรือนตามตรอกแคบๆแบบนี้

เดินกลับออกมาหน้าตลาดก็มีมุมสวยๆให้ถ่ายรูปอีกเยอะเลย บ้านเมืองที่นี่เค้าคุมโทนกันดีมากมีแต่สีขาวสีเหลือง


ริมน้ำตรงนี้เป็นที่หากินของนกนางนวลเพียบเลย เดินระวังนกอึใส่กันเด้อ

พอเที่ยวในเมืองประมาณนึงต้องคอยเตือนตัวเองว่าออกช้ามากไม่ได้เพราะเดี๋ยวมืดก่อนถึงเมืองหน้า ถ้าใครมีเวลามากกว่านี้ มัสกัตยังมีที่เที่ยวอีกหลายที่เลยที่ผมยังไม่ได้ไปไม่ว่าจะเป็น Mutrah Fort หรือ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติโอมานก็น่าสนใจ


สำหรับเส้นทางที่จะไปไม่ยากเลยเปิด Google Maps เอาได้ ปลายทางของเราคือเมืองซูร์ หรือ Sur แต่ระหว่างทางก็มีที่เที่ยวเยอะเลย หุบเขาลำธาร หรือ Wadi ของโอมานก็ชื่อดังสวยงามและมีอยู่ตลอดทาง สองหุบเขาที่ดังสุดๆเรื่องความสวยงามคือ Wadi Shab แล้วก็ Wadi Bani Khalid ทีนี้ผมก็คิดอยู่ว่าเลือกไปอันไหนดีเพราะเวลาน้อย หลังจากศึกษาอยู่นานก็สรุปได้ว่า Wadi Shab ถ้าจะไปให้สวยสุดทางมันต้องว่ายน้ำเข้าไปแล้วแบบว่ายน้ำไม่เก่งแถมอุปกรณ์ไม่พร้อม เลยตัดสินใจข้ามไปแล้วไปที่ Wadi Bani Khalid แทน


สต็อปแรกของเราระหว่างทางคือ Bimmah Sinkhole ขับมาตรงนี้แล้วเหมือนเป็นจุดพักคนขับที่พอดีมาก ลงมาแล้วปวดหลังใช้ได้ 555 ตัวสถานที่เองก็ใหญ่นะเป็นหลุมพื้นทรุดลงไปน้ำใสสวยดีเป็นสีเขียวๆ ถ้าใครชอบเล่นน้ำละก็ดีเลยแต่ของเราเดินดูนิดหน่อยพอละ

ตลอดทางที่ขับมาเป็นวิวภูเขาหินสูงดูแห้งแล้งมากเลยครับ ภูเขาแบบนี้ทำให้เวลาฝนที่นานๆตกทีตกลงมาสามารถสะสมน้ำไว้ตามหุบเขาได้แล้วตรงนั้นคนเค้าก็ใช้ทำไร่ทำสวนกัน

มองออกไปก็เป็นทะเลข้างหลังเป็นภูเขา ฮวงจุ้ยดีฝุดๆ ทางตรงนี้อยู่ริมทะเลเลยขับรถออกมาดูซิ โหน้ำทะเลสีเหมือนใบบัวบกเลยนะ


พักผ่อนกันหายเหนื่อยกินขนมแก้หิวนิดหน่อยก็พากันขับรถต่อไปที่เมือง Sur กันเลย เมืองนี้เป็นเมืองริมทะเลเล็กๆน่ารักที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานด้านการต่อเรือไม้แบบฉบับดั้งเดิมของชาวอาหรับที่เรียกว่า Dhaw


ไหนๆมาริมทะเลเลยไปดูชายหาดที่ Sur Beach หน่อย บนหาดมีเด็กแถวนี้เตะบอลกันเพียบ แบบสนามเดียวเตะกันสามคู่คนในสนามหลายสิบคนเหมือนที่เคยเล่นสมัยเด็กๆที่โรงเรียนเลยนะ มองออกไปจะเห็นแลนด์มาร์คของเมืองหลายแห่ง บรรยากาศก็ชิวดีใช้ได้เลย

มีเรื่องน่าเศร้าอย่างนึงคือบนหาดมีปลาปักเป้าตัวน้อยนอนตายกันอยู่เต็มเลยไม่รู้ทำไม น้ำเป็นพิษหรืออะไรกันนะ จะมีแบบนี้หลายจุดมากเลย ใครมีความรู้มาคลายความสงสัยหน่อยครับ


ประภาคาร Al-Ayjah Lighthouse ที่เห็นจากตรงหาดก็สามารถขับรถไปเที่ยวได้เหมือนกัน ที่แถวนี้มีชาวบ้านเยอะกว่าเดิมอีก ตอนเย็นๆเค้าก็พากันเดินออกมานั่งเล่นตากลมหลังจากแดดหายร้อนกัน เด็กน้อยวิ่งเล่นเยอะมาก มาอยู่ตรงนี้รอดูพระอาทิตย์ตกกัน


หลังจากพระอาทิตย์ตกแล้วยังมีเวลาให้ถ่ายรูปอยู่เลย มุมนี้เห็นตอนที่ขับรถไปที่ประภาคารเลยมาโดนซะหน่อย อันนี้อยู่บนสะพาน Al Ayjah bridge จอดรถตรงตีนสะพานแล้วเดินขึ้นมาได้เลยครับ ด้านล่างสะพานคือเรือไม้ Dhaw ที่เมืองนี้มีชื่อเสียงด้านการผลิตนี่เอง หอคอยทรงกระบอกที่ทำหน้าเหวออ้าปากค้างอยู่คือหอคอยสำหรับป้องกันปากน้ำในสมัยก่อนตั้งอยู่ตามยอดเขาแบบนี้ครับ

sur oman

ถ้าขับรถไปจอดที่ Al Ayjah Plaza Hotel อีกก็จะสามารถเดินขึ้นยอดเขาเตี้ยไปดูแสงอาทิตย์แสงสุดท้ายทันอีกด้วย เมืองนี้ให้บรรยากาศที่เงียบสงบมีน้ำล้อมรอบ ถ้ามีโอกาสก็ควรจะมาอยู่เพิ่มอีกเหมือนกัน

ใกล้ๆเมือง Sur ยังมีที่เที่ยวอีกเยอะเลยไม่ว่าจะเป็นโรงงานต่อเรือ พิพิธภัณฑ์การเดินเรือ แล้วก็ถ้ามาถูกฤดูจะมีหาดใกล้ๆที่เต่ามาวางไข่กันด้วย อันนี้เค้ามีหน่วยงานและโรงแรม (Ras Al Jinz Turtle Reserve)​ ที่จัดการพาคนไปดูแบบไม่เดือดร้อนเต่าด้วย ถ้ามีโอกาสไปเที่ยวเอามาเล่าให้ฟังบ้างนะครับ คืนนี้ก็ไปหาข้าวกิน มีแต่อาหารอินเดียอีกเช่นเคย บอกเลยจะไม่กินอาหารอินเดียอีกสองปีหลังจากนี้

 

วันที่ 6 Wadi Bani Khalid และ Desert Nights Camp

วันนี้แหละครับที่ผมรอมานานและให้เป็นไฮไลท์ไคลแม็กซ์ของทริปนี้เลย คือเคยไปเที่ยวทะเลทรายที่แคลิฟอร์เนียมาแล้วแต่ว่ามันไม่ฟินเลยเพราะฝรั่งชอบเดินเหยียบทรายไปทั่วจนเป็นรอยเท้าเยอะแยะถ่ายภาพมาแล้วไม่สวยเลย มางวดนี้เลยกะว่ามาถึงถิ่นทะเลทรายแล้วมันต้องได้รูปสวยๆบ้างละวะ

แต่ก่อนอื่นเราออกจาก Sur แต่เช้าเพราะว่าจะได้มีเวลาเที่ยวเยอะๆ ที่แรกคือขับรถไปที่ Wadi Bani Khalid ก่อนเลย ทางไปก็จะเป็นทางด่วนมาก่อนยาวๆซึ่งตรงนี้ถ้ามองไปทางซ้ายก็จะเริ่มเห็นแนวเนินทรายหรือ sand dunes ที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาแล้วแบบโคตรตื่นเต้นแต่ต้องเก็บไว้ก่อนเพราะเดี๋ยวไปเที่ยวใน Wadi แล้วไม่สนุก พอออกจากทางด่วนก็จะเริ่มเป็นทางขึ้นเขาแต่ว่าที่ขึ้นเขาขับไม่ยากเลยครับถนนดีมากตลอดทาง ข้างทางมีภูเขาหินหน้าตาประหลาดเยอะแยะแต่ดูแล้วแบบมันแห้งแล้งมากกก


ขับขึ้นเขาตามป้ายมาเรื่อยๆก็จะเจอเมืองที่แวะกินข้าวเช้าได้ ตอนเช้าเค้าจะไม่ค่อยมีอะไรขายต้องจัดแกงกระหรี่กันแต่เช้า ลื่นคอไหมล่ะ พอกินเสร็จก็ไปหาที่เที่ยวเลย ที่แถวนี้ Google Maps เค้าจะงงๆหน่อย ขับเข้าไปแล้วชาวบ้านเค้าก็บอกว่ามาตรงนี้ทำไมครับ พอบอกจะไปเที่ยวที่ Wadi Bani Khalid เค้าก็บอกว่าน้องมาผิดที่แล้ว ทีนี้เลยเลิกดู Google แล้วดูป้ายแทนก็งงอยู่ดี แต่แวะถามรายทางไปเรื่อยก็ถึงจนได้นะ ทีนี้ตามทางก็มีที่สวยๆเยอะอยู่เอามาแบ่งให้เผื่อใครจะไปตามรอย


https://goo.gl/maps/f1QYHAZWKBhVefVE9 ตรงนี้เป็นโรงแรมร้างแต่ว่าวิวสวยมากเป็นสวนปาล์มอินทผาลัมปลูกไว้เป็นตับๆแล้วด้านหลังเป็นภูเขาแหลมสูง คือเห็นภาพนี้แล้วมันแบบว่าอันนี้เราอยู่ที่ทะเลทรายจริงเหรอทำไมต้นไม้มันเยอะขนาดนี้ Wadi Bani Khalid มีตาน้ำธรรมชาติที่ไหลออกมาทำให้มีน้ำใช้ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ได้ตลอด เป็นสถานที่แห่งชีวิตของคนแถวนี้จริงๆ

https://goo.gl/maps/f8e3R6sDJtA61mPs9 ตรงนี้เป็นที่จอดรถข้างทาง จอดแล้วเดินย้อนไปข้างหลังจะมีหุบเขาที่ลำธารไหลผ่านมีภูเขาเป็นแบ็คดรอปสวยมากอีกแล้ว มีพุ่มหญ้าสวยงามกับน้ำใสมาก

ตลอดทางที่เดินเล่นก็จะเห็นขอบที่เค้าก่อขึ้นมาด้วยหินหรือปูนที่ไว้ใช้ลำเลียงน้ำจากตาน้ำไปที่สวนของชาวบ้านแถวนี้ คนแถวนี้บอกว่าของแบบนี้มีมาหลายร้อยปีแล้ว