เดือนที่เดินทาง - พฤศจิกายน 2021
เห็น Antelope Canyon มาแล้วในตอนที่ 3 ถ้าเริ่มเครื่องติดตามมาอ่านตอนที่ 4 ต่อกันเลยที่ Monument Valley และ Grand Canyon สถานที่ที่เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติและล้ำค่าทางวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองนาวาโฮ เป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่บางอย่างอาจไม่สามารถอธิบายด้วยภาพถ่ายได้
ทริปนี้เราใช้เวลาทั้งหมดไม่รวมนั่งเครื่องบินที่ 15 วัน 14 คืน และตอนที่ 4 นี้เป็นช่วงวันที่ 10 - 15 ตามนี้ครับผม
วันที่ 10 ครึ่งบ่าย: Monument Valley
วันที่ 11: Monument Valley อีกวัน
วันที่ 12: Monument Valley อีกครึ่งวัน + Grand Canyon ครึ่งบ่าย
วันที่ 13: Grand Canyon ต่อไป
วันที่ 14: Grand Canyon อีกนิด + ขับรถไป Phoenix
วันที่ 15: กลับบ้านมาทำงานใช้กรรม
Monument Valley
เรามาถึงที่ Monument Valley หลังจากเที่ยวที่เมือง Page ในรัฐ Arizona กันมาก่อนหน้านี้ การขับรถเส้นทางนี้ง่ายมากเป็นทางตรงแทบตลอดทาง เราจะใช้เวลาที่นี่ 2 คืนด้วยกันเอาแบบให้เต็มที่ปิดจ๊อบกันไปเลย ส่วนที่พักที่ปกติจะไม่ค่อยพูดถึงแต่ครั้งนี้ไม่ได้จริงๆ เราพักที่โรงแรม The View ที่ตั้งอยู่ตรงทางเข้าอุทยานเลยและทุกห้องพักมีวิวระดับเทพเจ้า มุมมหาชน มุมที่ทุกคนรอคอย
อุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตปกครองตนเองของชนเผ่านาวาโฮ (Navajo) ชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ที่ตรงนี้มาก่อนที่ฝรั่งจะเข้ามาถึงทวีปอเมริกา ทุกคนจะต้องซื้อบัตรเข้าอุทยานก่อนถึงจะเข้าไปชมด้านในได้ แต่ถ้าใครแค่ผ่านมาก็สามารถมาจอดที่โรงแรม The View เพื่อถ่ายภาพมุมนี้ได้เลย
อีกอย่างคือถ้าใครต้องการจะนั่งรถชมด้านในหุบเขาแบบเจาะลึกควรจะจ้างไกด์ท้องถิ่นเพราะว่ารถคนนอกไม่สามารถเข้าได้บางจุดเพราะเป็นที่อยู่อาศัยของเค้าจริงๆและถนนมันขับเองไม่ได้หรอก นั่งเบาะหลังยังกรีดร้องกับความชัน อีกอยากคือไกด์เค้าสามารถแชร์ประสบการณ์ชีวิตของชนเผ่าพื้นเมืองให้ฟังได้ด้วย เป็นเรื่องราวที่ทั้งน่าสนใจและงดงามจริงๆ การหาไกด์ก็ทำได้โดยการของเบอร์หรืออีเมล์ติดต่อจากล็อบบี้โรงแรมได้เลย
สำหรับคณะเราแล้วมาถึงตรงนี้เวลาพระอาทิตย์ตกพอดีรีบเช็คอินแล้วพุ่งไปที่จุดชมวิวตรงร้านอาหารอย่างไว วันนี้มากับดวงมากๆเพราะท้องฟ้าเป็นใจได้เมฆสวยๆเป็นที่ระลึก ข้าวเย็นวันนี้เราก็เตรียมอาหารเหลือจากวันก่อนไว้เรียบร้อยไม่ต้องออกไปหากินเพราะโรงแรมไม่เปิดร้านอาหารในช่วงโควิด
และไหนๆก็จ่ายเงินแพงมานอนโรงแรม The View แล้วต้องจัดให้เต็มตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืดกะออกไปถ่ายภาพกับดาวซะหน่อย ปรากฎว่าช่วงนี้พระจันทร์เต็มดวงเลยมีดาวน้อยหน่อย ถ่ายแบบนี้ใบละ 30 วินาทีถ่ายติดกันแบบโหมด continuous เป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วเอามาต่อกันใน Photoshop ตั้งกล้องทิ้งไว้เลยแล้วกลับมานอนในห้องอุ่นๆ
พอตื่นกันแล้วก็แต่งตัวและออกไปขับรถเล่นใน Monument Valley กันเลยตั้งแต่ถนนเปิดตอนเจ็ดโมงเช้า ก่อนเข้าอย่าลืมซื้อบัตรค่าเข้าจากทางเข้าอุทยานก่อน ตำรวจแถวนี้เค้าเข้มจริง การขับก็จะวนเป็นลูปถนนเป็นดินลูกรังตลอดทาง รถเล็กขับได้แต่ไม่ควรขับเร็ว ที่ตรงนี้ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตเลยแม้แต่น้อยเพราะฉะนั้นควรโหลดแผนที่ออฟไลน์มาจากโรงแรมนะครับ
ระหว่างทางก็จะมีป้ายบอกว่าหินแต่ละก้อนชื่ออะไรกัน ดูแล้วก็คล้ายๆคนไทยที่ตั้งชื่อแปลกให้หินตามรูปร่าง เช่นหินสามพี่น้อง (Three Sisters) หินนิวโป้ง (The Thumb) แสงยามเช้าสีส้มส่งมาที่หินทำให้เป็นสีส้มแป๊ดเข้าไปใหญ่
ตลอดเส้นทางก็จะมีจุดชมวิวมุมสูงอยู่ 2 ที่ ตรงนี้คือ Artist's Point มองออกไปก็จะเห็นหินตั้งตระหง่านอยู่มากมาย ถ้ามองจากภาพอาจจะไม่เห็นถึงความใหญ่ผมเลยพยายามให้ในภาพมีสิ่งปลูกสร้างจากคนอยู่ด้วยเช่นบ้านที่อยู่ตรงฐาน หรือรถที่ขับอยู่ตรงตีนเขา ไม่คิดเลยว่าโลกเราจะมีอะไรแบบนี้อยู่ด้วย
จุดชมวิวอีกที่คือ John Ford Point ตรงนี้มีบริการของคนแถวนี้ที่เอาม้าขี่ออกไปให้คนขึ้นไปนั่งถ่ายภาพเหมือนอยู่ในหนังคาวบอย ค่าบริการไม่แพง
จุดที่ควรตั้งใจเฝ้าสอดส่องเวลามาที่นี่คือ foreground ล้ำค่าอย่างต้นไม้แห้งๆที่ขึ้นอยู่ทั่วไป ยิ่งท้องฟ้าโล่งโจ้งแบบนี้ช่วยทำให้ภาพไม่ว่างเปล่าเกินไป
ขับรถประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะวนครบลูปแล้ว กลับไปที่โรงแรมรับอาหารเช้าจากร้านขายของที่ระลึกได้ นี่คือความสุดของโรงแรมเค้าอยู่ตรงไหนก็เห็นวิวนี้
Photography Tour - Backcountry
ส่วนบ่ายวันนี้เราก็จองไกด์เอาไว้ เค้าโฆษณาว่าเป็น Photography tour จะพาไปดูจุดถ่ายภาพตามที่ต่างๆ มีบริการรอบพระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ตก คนละ 125 เหรียญใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง มารับที่หน้าโรงแรมและบอกได้เลยว่าอยากได้ภาพประมาณไหนเค้าก็จะขับรถพาไปตามถนนที่คนทั่วไปเข้าไม่ได้ ที่เรียกว่า Backcountry ไกด์เป็นคุณพี่อายุประมาณ 40 ปลายๆชาวนาวาโฮที่เติบโตอยู่ใน Monument Valley แห่งนี้เอง
พอคุยกันเรียบร้อยพี่เค้าก็พาขึ้นรถ 4WD แล้วลุยเข้าไปบนถนนที่เป็นหินปนทรายสีแดงส้มเข้าไปเลย พี่เค้าก็จะจอดแวะเป็นจุดๆเวลาเค้าเห็นอะไรให้เราเก็บภาพได้ บางทีก็จะเดินไปหาองค์ประกอบที่เราอยากได้เช่นต้นไม้สวยๆเป็น foreground ให้กับภาพเราเป็นต้น
ระหว่างทางพี่ไกด์ก็จะเล่าให้ฟังถึงชีวิตในอดีตในยุค 80 หรือประมาณ 40 ปีที่แล้ว สมัยก่อนอยากจะไปแว๊นกับเพื่อนก็ไม่มีรถมอเตอร์ไซค์เหมือนเด็กสมัยนี้ต้องไปตามหาจับม้าป่ามาเป็นพาหนะ เล่าถึงความตื่นเต้นของการจะจับม้าให้ได้ตัวนึงต้องให้เพื่อนไล่ต้อนฝูงม้าป่าให้เข้ามาในช่องหินแคบแล้วพี่เค้าก็กระโดดขึ้นหลังม้าที่หมายตา แบบว่าต้องเลือกไวและใจเด็ดมากๆ ม้านี้ก็จะอยู่กับเค้าไปตลอดวัยเด็กจนถึงวัยรุ่นเป็นคู่หูกันไปเลยก็ว่าได้ ขี่ไปงานแต่งที่หมู่บ้านอื่นเอาไว้อวดสาวก็ได้
ด้วยความสงสัยเพราะเราเคยเห็นคนอินเดียนแดงแต่ในหนัง Hollywood ที่ผมรู้แน่ๆว่ามันต้องมั่วเพราะหนังก็ทำโดยคนขาว เลยยิ่งอยากถาม พี่เค้าก็ไม่เขินอายแทบจะเล่าประวัติชีวิตให้ฟัง บ้านที่อาศัยอยู่กับปู่ย่าตายายนี่ก็อยู่ติดๆกับก้อนหินสูงที่เห็นกันทั่วเพราะหินจะปล่อยความเย็นออกมาตอนกลางคืนและบังแดดด้วยตอนกลางวัน พี่เค้าเล่าว่ากลางคืนช่วงหน้าร้อนเด็กชอบออกมานอนนอกบ้านเพราะมองไปบนฟ้ามีดาวเยอะมาก ก้อนหินในรูปด้านล่างก็เป็นที่เล่นซนของพี่เค้ากับเพื่อนๆ วิธีเล่นที่ว่าก็คือปีนขึ้นไปบนยอดหินเพราะด้านบนมีแอ่งน้ำที่เก็บน้ำฝนไว้อยู่ การปีนก็มีเทคนิคอยู่คือใช้รูที่อยู่บนกำแพงหินในการสอดมือเท้าเข้าไปในการปีน เล่นกันแบบไม่กลัวตายแบบนี้คุณย่าก็เลยไล่เอาไม้ตีบ่อยๆเวลาจับได้ รูปที่เห็นนั้นบ้านย่าเค้าจริงๆด้วยนะครับ จะมีบ้านสมัยใหม่และบ้านที่สร้างจากดินกับเปลือกไม้ทำเป็นครึ่งวงกลม ข้างในเค้าว่านอนล้อมหัวชนกำแพง การสร้างบ้านแบบนี้หนึ่งหลังใช้เวลาตั้งหลายเดือนเพราะต้องตากไม้ให้แห้งสนิทก่อนเอาโคลนพอกลงไป
ฟังๆดูแล้วคนที่นี่มีความผูกพันกับม้าของเค้ามาก เหมือนกับชีวิตเค้าอยู่ไปกับธรรมชาติ พึ่งพาทรัพยากรต่างๆที่มีรอบตัวแบบเป็นผู้อาศัยแต่ไม่ใช่ผู้มาครอบครอง เป็นวิถีที่ตรงกันข้ามกับหลายๆวัฒนธรรมของโลก โดยเฉพาะม้าของพี่เค้า ม้าที่มีเหมือนเป็นคู่หูเค้าไปตลอดชีวิตก็ว่าได้ เวลาที่ไม่ได้ใช้งานม้าเค้าก็จะปล่อยให้กลับไปอยู่กับฝูงตามธรรมชาติ แต่เมื่อไหร่ที่พี่เค้าเรียกหาโดยการเอากระป๋องอาหารมาเขย่าๆม้าก็จะโผล่หัวออกมาจากฝูงที่กินหญ้าอยู่แล้ววิ่งมาหาทันที ด้วยความที่ม้าจำคนได้จากกลิ่นพี่เค้าก็จะเอามือมาทาบที่จมูกแล้วพูดเป็นภาษานาวาโฮว่าออกไปผจญภัยกันเถอะเพื่อนเก่า ฟังแล้วน้ำตาจะไหลเลยฮะ
พี่เค้าก็เล่าให้ฟังด้วยว่าชีวิตในหมู่บ้านก็ไม่ง่ายเพราะเพื่อนๆสมัยก่อนก็ชอบแกล้งกัน ถ้านั่งม้าพยศแล้วตกลงมาละก็ห้ามร้องไห้เพราะเพื่อนจะล้อยันลูกบวชแน่ๆ อีกอย่างการศึกษาก็เข้าถึงยาก จะเรียนก็ต้องไปนอนค้างที่โรงเรียนทีละ 3 สัปดาห์เพราะโรงเรียนอยู่ไกลมากเดินทางไปกลับไม่ได้ แต่บางทีพ่อแม่ก็จะมารับกลับก่อนเพราะต้องการให้ไปทำงานในไร่เลี้ยงวัวเลี้ยงม้า พี่เค้าก็ไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่แรกทำให้ต้องมาฟิตตอนโตแล้วก็ฝึกจากการทำงาน ชีวิตพี่เค้าก็ระหกระเหินไปทำงานบนเรือตกปลาที่อลาสก้าก็ไปมาแล้ว แต่สุดท้ายอยากอยู่ที่บ้านเกิดเลยมาเป็นไกด์แต่โควิดก็ทำชีวิตสะดุดอีก
ระหว่างทางที่เค้าพาชมถ้ำนี้ที่มีภาพสลักคิดว่าเป็นรูปละมั่งหรือ Anthelope ก็มีอีกกรุ๊ปทัวร์มาลงนำโดยคนพื้นเมืองเหมือนกัน พี่เค้าก็แอบเม้าว่าพวกนี้อธิบายตามหนังสือนะ แต่ผมตามประสบการณ์จริง 555
ผมก็บอกกับพี่เค้าว่าอยากไปเห็นสันทรายที่มีระลอกคลื่นทรายชัดๆ เพราะที่ที่ไปมาก่อนหน้าเนี่ยคนเหยียบยับเยินหมดเลย พี่เค้าก็อุตส่าห์พาขับรถขึ้นเขาลงห้วยไปจนเจอ จอดรถแล้วเดินเข้าไปตั้งสิบนาที เอาทรายกลับบ้านเต็มเท้าอีกแล้ว ตอนสงกรานต์น่าจะต้องขนทรายมาก่อเจดีย์ทรายเพื่อเอาทรายคืนที่นี่
ส่วนคนนี้เดินช้ารถไม่รอละนะ
ก่อนจะไปจุดหมายสุดท้ายโทรศัพท์ก็เข้าพี่แกก็คุยสนุกสนานแล้วเล่าให้ฟังว่าคนแก่ๆในหมู่บ้านโทรมาชวนเล่นไพ่ คนแก่ๆเค้าก็เหงาเพราะลูกหลานต้องไปหางานในเมือง พี่คนนี้ก็เป็นคนที่คอยเอนเตอร์เทนผู้เฒ่าผู้แก่อย่างสม่ำเสมอ เค้าก็บอกคนแก่ๆนี่ชอบตลกโปกฮาเค้าก็เลยไปด้วยความเต็มใจ
ก่อนจากกันพี่เค้าแนะนำให้ไปกินข้าวที่ Goulding's Lodge ขับรถไปแค่สิบนาที เค้าบอก Navajo Taco เด็ดมากแต่ให้สั่งจานเดียวเพราะอันเท่าพวงมาลัยรถ พวกน้องตัวเล็กๆกินไม่หมดหรอก เชื่อที่ไหนสั่งคนละจานได้เอากลับมากินเป็นอาหารเช้าอีก อร่อยเลยโดยเฉพาะแป้งทอดที่ใช้ห่อเครื่องต่างๆ
จบทริปเราเวลาห้าโมงนิดๆเพราะเราถ่ายรูปเพลินนิดหน่อยแต่พี่เค้าก็ชิวๆ ด้วยความประทับใจเลยให้ทิปเค้าเยอะหน่อยตามกำลังทรัพย์ ไปเที่ยวทัวร์นี้ได้รูปมาก็มากแต่ที่ได้มากกว่ารูปคือความรู้และความประทับใจในวิถีชีวิตของคนที่นี่ ถ้าใครไม่เคยได้ยินชื่อชนเผ่านี้มาก่อนเค้ามีฟีเจอร์ในหนังเรื่อง Windtalker ที่มี Nicolas Cage เล่นโดยคนนาวาโฮเป็นคนสื่อสารทางวิทยุในสงครามแปซิฟิกกับญี่ปุ่นป้องกันไม่ให้ญี่ปุ่นแกะข้อความได้ หนังอาจจะมั่วๆหน่อยแต่ก็ได้รู้จักกับวีรกรรมของคนจากเผ่านี้ครับ
เช้าถัดมาเป็นเช้าสุดท้ายแล้วที่จะอยู่ตรงนี้ ก็ต้องเอาให้เต็มที่ออกไปถ่ายรูปแถวโรงแรมที่เอาจริงๆยังไม่ได้สำรวจเลย คือมาที่นี่มองไปทางไหนก็มีอะไรให้ดูตลอดภูเขาหินทรายสูงล้อมรอบและข้างๆโรงแรมก็มีเส้นทางให้เดินขึ้นไปบนเนินด้วย
อันดับแรกมาตรงจุดชมวิวข้างที่จอดรถจะมีบ้านดินที่ชื่อว่า Hogan อยู่เป็นเหมือนตัวอย่างให้นักท่องเที่ยวดูได้เพราะถ้าไปเห็นที่อื่นนั่นคือมีคนอยู่จริงๆห้ามเข้าไปวิ่งเล่น ถ้าใครสังเกตจะเห็นว่าตั้งแต่มาถึงที่ตรงนี้ไม่มีเมฆเลยแม้แต่ก้อนเดียว นี่มันอาถรรพ์อะไร! รูปออกมานี่คือท้องฟ้าน่าเบื่อสุด
ไม่เป็นไรเราก็ถ่ายท้องฟ้าไว้น้อยๆเน้นพื้น foreground ด้านล่างแก้ขัดไปก่อน ว่าแต่หินนี่หน้าตาเหมือนครัวซองแฮะ
โรงแรมนี้เค้าก็มีที่พักเป็นโซนตึกกับโซนบังกาโลด้วย หรือจะกางเต้นท์ก็ได้เช่นกัน ถ่ายภาพนี้มาให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของภูเขารอบด้าน มหัศจรรย์ยิ่งนัก
ทางขวาของทางเข้าโรงแรมจะมีทางเดินขึ้นเนินสำหรับคนที่รักในการผจญภัย สำหรับผมเองอยากเดินไปดูว่ามีอะไรสวยๆให้เป็น foreground ให้ภาพเรามั้ย ด้านบนก็เป็นอีกมุมหนึ่งของหินสามแท่งหน้าโรงแรมและมีต้นสน Juniper มากมายลำต้นเลี้ยวลดคดเคี้ยวสวยงามแปลกตามากๆ ต้นไม้เค้าหน้าตาประหลาดแบบนี้เป็นเพราะลมที่แรงพัดให้เค้าลู่ลมไปมาจนต้นไม้นี้เอียงเอนอย่างที่เห็น ต้นสนแบบนี้เป็นที่นิยมมากๆในการเอามาทำต้นบอนไซด้วยชีวิตยืนยาว ใบที่เล็กและความสวยงามของลำต้น
ที่ฟุ้งอยู่ที่พื้นนั้นคือทรายที่ปลิวจากรถที่ขับผ่านไปมา ดูทีแรกคิดว่าหมอกลงซะอีก ถ้าได้เห็นรถจะมีกองทรายตามที่ต่างๆเพียบ
ที่สุดท้ายก่อนจาก เช็คเอาท์จากที่พักแล้วขับรถต่อไปอีกหน่อยเพื่อจะไปดู Forrest Gump Point สถานที่ถ่ายหนังตามชื่อสถานที่ที่พระเอกวิ่งๆๆๆมาแล้วมาล้มเลิกตรงนี้ปล่อยให้สาวกยืนงง ถ้ามองข้ามว่าเป็นที่ถ่ายหนังไปตรงนี้สวยมากๆเลยเห็นภูเขาเป็นแท่งๆ เหมือนมีปราสาทตั้งอยู่ก็ว่าได้ ตอนเราไปก็มีพ่อลูกคู่นี้พยายามทำเลียนแบบ ใช้เวลานานมากเลยบอกว่าเดี๋ยวพี่น้องดูรถให้นะเพราะถนนนี้รถวิ่งจริงและวิ่งเร็วด้วย ความปลอดภัยสำคัญอันดับหนึ่ง
Grand Canyon South Rim
ที่ต่อไปที่เราจะไปจาก Monument Valley ก็คือ Grand Canyon นั่นเอง บอกเลยตรงนี้ตอนวางแผนทีแรกกะว่าไม่ไปก็ได้มั้ง เพราะเห็นรูปมาเยอะแล้วแบบก็เฉยๆมั้ยอ่ะ แต่ตัดสินใจว่าไปเลย 2 คืนเพราะคนที่เคยไปต่างบอกว่ารูปภาพนี่มันอธิบายถึงความยิ่งใหญ่ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว โดย Grand Canyon เค้าดูได้ 3 จุด North Rim, South Rim และ West Rim ที่กำลังเป็นที่รู้จักอยู่ใกล้กับ Las Vegas รอบนี้เราไปที่ South Rim เพราะว่าใกล้ Phoenix ที่เราจะขึ้นเครื่องกลับบ้านที่สุดและเป็นที่นิยมคนแน่นมากที่สุด
เพราะว่าเราเดินทางมาจาก Monument Valley เราเข้าประตูอุทยานจากทางทิศตะวันออกทำให้จุดแรกที่เจอเลยคือ Desert View จุดเริ่มต้นของ Desert View Drive ส่วนที่พักของเราจองด้านในอุทยานไม่ทันเพราะเต็มแล้วแถมแพงมาก ง่ายๆคือเลยออกไปทางออกที่ลงใต้ด้านขวาของแผนที่มีโรงแรมถูกกว่ามากมาย ขับรถเข้ามาในอุทยานไม่ไกลด้วย
Desert View เป็นเหมือนที่ให้เราทำความรู้จักกับ Grand Canyon กันก่อนไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์หรือเกี่ยวกับสังคม ตรงริมผาจะมีหอสังเกตการณ์ตั้งอยู่ด้วยสร้างเสร็จตั้งแต่ปีค.ศ. 1932 และได้แรงบันดาลใจมากจากโบราณสถานของชนพื้นเมือง ตอนที่ไปชั้น 1 นี่ขายของที่ระลึกส่วนชั้นอื่นๆปิดอย่างไม่มีกำหนด ส่วนจุดชมวิวนั้นคนแน่นพอสมควรมองออกไปก็จะเห็นแม่น้ำโคโลราโด้ แม่น้ำนี้แหละที่ใช้เวลาหลายล้านปีตัดให้แผ่นดินแยกเป็นสองข้างเกิดเป็น Grand Canyon เปรียบเหมือนเพลงที่ว่าน้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน
Desert View Drive ก็จะเป็นถนนที่เลาะตามขอบเหวของ Grand Canyon ไปเรื่อยและตามทางก็จะมีจุดชมวิวให้จอดแวะเยอะมาก แต่ละจุดก็จะมีทางเดินที่ขาฟิตสามารถเดินลงไปในหุบเขาได้ บางจุดสามารถไปถึงแม่น้ำได้เลยแต่ใช้เวลาขาเดียวก็ 4 - 5 ชั่วโมงแล้ว อุทยานต้องคอยติดป้ายเตือนว่าอย่าเก๋าเพราะร่วงมาหลายรายแล้วนะเออ
ขับรถกระเถิบมานิดหน่อยที่ Navajo Point ก็จะสามารถมองเห็นหอคอยที่ผ่านมาแล้วด้วย เห็นแล้วตึกสี่ชั้นนี่เหมือนกองก้อนกรวดเลยเมื่อเทียบกับความมหึมาของธรรมชาติรอบข้าง
พอดีมาถึงยังบ่ายๆอยู่แสงก็จะแข็งๆถ่ายภาพไม่ค่อยสวยเท่าไหร่แต่เราก็ตระเวณดูมุมต่างๆไว้ค่อยมาเก็บตอนแสงดีๆ ข้อดีของที่นี่คือขับรถไม่ไกลมากเลยไม่ต้องกังวลเรื่องย้อนกลับไปกลับมาเหมือนที่เที่ยวก่อนหน้านี้
Mather Point
สำหรับพระอาทิตย์ตกวันนี้เรามาจบที่ Mather Point เป็นจุดที่คนเยอะสุดและเพราะว่าเค้าอยู่ที่เดียวกันกับ Visitor Center ที่เป็นที่ขึ้นรถสาธารณะที่บริการรับส่งฟรีตามจุดชมวิวต่างๆ อากาศก็หนาวคนก็เยอะแต่ถ่อมาถึงนี่แล้วต้องสู้
สำหรับวันนี้ท้องฟ้าก็ยังไร้เมฆต่อไปไม่มีอะไรมารับแสงแดดตอนอาทิตย์ตก แต่พอกำลังจะกลับเท่านั้นแหละหันไปด้านหลังฝั่งลานจอดรถก็ได้เจอกับสิ่งนี้ ทำไมไประเบิดฝั่งนั้นล่ะครับ พอดีฤดูนี้ที่มาเนี่ยพระอาทิตย์ทั้งขึ้นและตกจะค่อนไปทางทิศตะวันออกและตกเฉียงใต้มากๆทำให้ฟ้าไประเบิดข้างหลังที่เป็นทิศใต้แบบนี้แหละ
ไม่เป็นไรไปหาไรกินแก้ช้ำใจหลังจากเช็คอิน พรุ่งนี้ยังมีหวัง
South Kaibab Trailhead
วันรุ่งขึ้นก็ตื่นขึ้นมาเลยครับ 1 ชั่วโมงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นและบึ่งรถไปที่ South Kaibab Trailhead จากตรงนี้จะมีเส้นทางให้เดินลงไปที่ Ooh Aah Point แบบเดินมาถึงร้องอู้อ้าเลย เหนื่อยมั่ก การเดินแนะนำว่าค่อยๆเพราะข้างๆเนี่ยตกไปไม่ต้องไปเก็บศพจริงๆ อีกอย่างการเดินลงอย่ากระแทกแรงมากจะเป็นการทำร้ายเข่า และการเดินกลับขึ้นก็ช้าๆเพราะตรงนี้สูงจากระดับน้ำทะเลมากจะหายใจไม่ทันเป็นลมง่ายมาก
ว่าแต่รูปล่ะได้มั้ย พระอาทิตย์ขึ้นก็จะมองไม่ค่อยเห็นเหมือนเดิมแถมเมฆที่หวังให้มีวันนี้มีมากเกินไป โอ้ยอะไรนักหนา ได้สีส้มของแดดมาเป็นเส้นเล็กเลยจัดเลนส์ซูมไปเลยจ้า
Ooh Aah Point จริงๆยังไม่ถึงครึ่งทางของเส้นทางนี้เลยทางที่เหลือก็จะเห็นได้จากตรงนี้ แบบเดินไปไม่ต้องเดินกลับได้มั้ยนะ
เดินต่อเลยครับ เดินกลับไปเอารถนะ ระหว่างทางก็สามารถเดินตามเส้นทาง Pipe Creek Vista ได้วิวสวยมากเหมือนกัน แถวนี้ต้นสน juniper บิดเบี้ยวสวยงามมากๆเพราะลมที่แรงพัดกิ่งไม้เหมือนผมคนเวลานั่งมอเตอร์ไซค์
พอเดินๆไปซักพักฝนตกลงมาเปาะแปะซะอย่างงั้นวิ่งเลยสิ กลัวมากเพราะดูข่าวมาเยอะว่าคนชอบโดนฟ้าผ่าแถวนี้เพราะมันโล่งและสูง
ยังไงกลับโรงแรมไปกินข้าวก่อนเลย ส่วนใครที่อินสามารถซื้อบัตรเข้าไปดูหนังจอสูงเท่าตึก 6 ชั้น เค้าบอกว่าคนอเมริกันนี่ใช้หน่วยวัดได้ทุกอย่างยกเว้น metric system ส่วนหนังก็จะเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นรอบๆ Grand Canyon ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงการเข้ามาของฝรั่งนักสำรวจ ถ่ายทำอย่างตั้งใจและใช้ฆ่าเวลาตอนหลบฝนได้ด้วย
Yavapai Point
พอฝนหยุดแล้วก็ไปเที่ยวต่อได้เลย การดูแผนที่ควรทำความเข้าใจให้ดีว่าถนนตรงไหนเราเอารถส่วนตัวเข้าไปได้เพราะบางเส้นเนี่ยเค้าเอาไว้ให้รถบัสวิ่งอย่างเดียว เราเลยจำใจหยุดแค่ Yavapai Point จุดชมวิวสวยอีกอันมาดูลาดเลาไว้ก่อนและตัดสินใจกลับมาเก็บตอนอาทิตย์ตกวันนี้ วันสุดท้ายแล้วฟ้ามาแน่เพราะฝนพึ่งตกไป เวลาที่ท้องฟ้ามีเมฆเป็นหย่อมๆก็ทำให้แสงที่ผ่านลงมาสวยได้แบบนี้เหมือนกันนะ
Shoshone Point
ระหว่างรอพระอาทิตย์ตกเราเลยตัดสินใจจะไปเดินเล่นในป่าแบบชิวๆพื้นราบๆให้มันได้ฟิลแบบนักเดินป่าแบบก๊อกแก๊กๆ เส้นทางนี้เดินออกไปสุดทางก็จะไปเจอกับจุดชมวิว Shoshone ความรู้สึกมันฟินที่ได้เดินในป่าเห็นแต่ยอดไม้พอจะถึงทางออกมันก็เริ่มเปิดโล่งขึ้นเรื่อยๆจะมาเจอกับวิวระดับเทพ
มีเจ๊เสื้อแดงมาตามหาสมบัติที่ฝังไว้จนลืมด้วย กางแผนที่ดูเป็นเรื่องเป็นราว
Yavapai Point (ต่อ)
นั่งดูวิวตากลมหนาวได้พักนึงก็เดินกลับรถเพราะจะกลับมาเก็บภาพอาทิตย์ตกตรงที่เดิมที่เล็งไว้ วันนี้มีเมฆมากตลอดวันแต่เรายังมีหวังว่าแสงแดดจะลอดออกมาได้และสาดสีส้มไปที่เมฆตรงหน้า สีบนเมฆมาจริงนะแต่บูดๆ ถ่ายมาให้ดูใบนึงละกัน พรุ่งนี้เช้าสุดท้ายแล้วจะล้างแค้นสำเร็จหรือไม่
ไม่เป็นไรไม่ร้องไห้กลับโรงแรมแล้วออกมากินสเต็กตรงข้ามที่พัก ใครเคยมาอเมริกาจะรู้ว่าอาหารเค้าเสิร์ฟกันจานนึงเหมือนกินกันทั้งครอบครัว มาช่วงแรกๆก็อิดออดกินไม่หมดอยู่ อยู่มาสองอาทิตย์ละกินหมดตลอด รู้สึกเลยว่ากางเกงแน่น
Grand View Point
เช้าวันถัดมาสุดท้ายแล้วนา รีบออกจากห้องพักเหมือนเดิม เครียดมากเพราะออกมาที่รถแล้วรถเป็นน้ำแข็งเกาะรอบคันกระจกหน้านี่มองไม่เห็น เมื่อวานฝนที่ตกและความชื้นในอากาศเลยทำให้เป็นแบบนี้ รีบสตาร์ทรถและเปิดระบบละลายนำ้แข็งบวกกับออกไปยืนพ่นลมหายใจอุ่นๆใส่กระจกให้รีบละลาย เช้ามากยังไม่ได้แปรงฟันด้วยสิ
พอกระจกละลายเป็นรูเห็นทางข้างหน้ากับกระจกข้างได้ก็ค่อยๆขับไปเลยจ้า ขับช้าๆรถไม่มีน่าจะปลอดภัย ไปถึงที่แล้วก็มืดมากและต้องเดินลงไปข้างล่างนิดหน่อยตามมุมที่เคยเล็งไว้ตั้งแต่วันแรก ใครไปมืดๆควรมีไฟฉายดีๆซักอันจะช่วยให้ชีวิตเราปลอดภัยขึ้นนะครับ
ตอนไปถึงเนี่ยยังมืดตึ๊ดตื๋ออยู่เลยแต่ก็เห็นแล้วถึงความสวย พอมืดๆแล้วก็สวยแบบลึกลับดีมีเงามืดในหุบเขาด้านล่างดูแล้วลุ่มลึกดูพิศวง ชอบหินก้อนบนนั้นมากเพราะหน้าตาคล้ายๆพระปฐมเจดีย์ที่จังหวัดนครปฐมเลย
ยืนชื่นชมธรรมชาติตรงหน้าอยู่ซักพักพระอาทิตย์ก็เริ่มโผล่ขึ้นมาแล้ว และวันนี้แหละที่ฝันเป็นจริงน้ำตาแทบไหล เมฆมีแต่พอเหมาะท้องฟ้าโปร่ง ท้องฟ้าไกลๆเป็นสีเหลืองส้ม เมฆตรงหน้าเป็นสายวิ่งมากลางภาพรับแสงแดดเป็นสีส้มชัดเจน มันสวยจัดเลยกดมาทั้งแบบนิ่งๆกับแบบเมฆไหล เมฆไหลเกิดจากการรวมภาพ long exposure 30 วิ ประมาณ 30 ภาพเข้าด้วยกันทำให้เหมือนได้ภาพที่ลากชัตเตอร์ยาว 15 นาที ลากจนพระอาทิตย์ขึ้นไปไกลเลย
เช้านี้เป็นเช้าที่ดีมากเลยถ้าไม่นับว่าหนาว -3 องศาเซลเซียส ใส่ทุกอย่างสองชั้นไปจนถึงกกน.ทีเดียว
เดินกลับมาที่รถถึงได้เห็นว่าน้ำแข็งเกาะกันจริงจังมาก ที่เห็นเป็นหยดๆนี่แข็งเด้อ
อารมณ์ดีได้ภาพสวย แวะจอดถ่ายหินเป็ดทางผ่านอีกทีก่อนกลับโรงแรมเช็คเอาท์
ถึงเวลาบอกลาแล้ว Grand Canyon วันนี้จะต้องขับรถเข้าเมือง Phoenix เพราะจะต้องไปตรวจโควิด ATK ก่อนบินกลับมาทำงานใช้กรรมในวันถัดไป ระหว่างทางก็สวยงามมากเลยมีทั้งภูเขาหิมะ ขับไปอีกก็เจอต้นกระบองเพชรยักษ์เหมือนในโลโก้กาแฟ Black Canyon ต้นใหญ่จริงเลยตั้งใจว่าไปถึงที่หมายจะต้องไปหาดูใกล้ๆให้ได้
สำหรับคนที่ขับรถเร็วเตือนไว้ก่อนว่าที่นี่เค้าจับจริงเพราะโดนมาแล้ว รถตำรวจเปิดหวอวิ่งตามไล่ให้มาจอดข้างทางเหมือนในหนังเลย คุณตำรวจบอกว่ารู้มั้ยว่าขับอยู่ที่ความเร็วที่ขับอยู่ผิดกฎหมายอาญาเลยนะ รัฐนี้ห้ามขับเกิน 85 ไมล์ต่อชั่วโมงแต่คุณโดนจับที่ 86 ไมล์ต่อชั่วโมง โชคยังดีที่คุณตำรวจเค้าเห็นเป็นนักท่องเที่ยวเค้าเลยให้ผ่านไปพร้อมกับจดหมายตักเตือน แบบว่าถ้าทำอีกนอนคุกละนะ ตั้งแต่นั้นมาขับใต้ speed limit ไปจนกลับบ้านเลยจ้า
พอถึงแล้วไปตรวจโควิดกันเลยปรากฎว่าที่นี่เค้าให้แหย่ๆเองแล้วเอาไม้มาคืน ส่งผลให้ทางอีเมลภายในหนึ่งชั่วโมงสะดวกมากๆ
วันรุ่งขึ้นกินข้าวเสร็จแล้วก็ไปเที่ยวหาดูต้นกระบองเพชรตามสัญญาที่ Hole in the Rock เป็นที่พักผ่อนของคนแถวนี้
แถมให้นิดหน่อยก่อนเราจากกัน ขอบคุณที่อ่านมาจนจบตั้งแต่ตอนที่ 1 ถึงตอนที่ 4 นานๆจะได้ไปเที่ยวทีนึงได้แต่หวังว่าจะนำเรื่องราวน่าสนใจมานำเสนอให้เพื่อนๆได้
หากว่าชอบใจผลงานก็ฝากติดตามด้วยการกดไลค์เพจเพื่อได้รับข่าวสารเวลามีโพสใหม่ๆนะครับ ลาไปก่อนสวัสดีครับ สนับสนุนการทำงานของผมได้โดยการเลี้ยงน้ำเลี้ยงขนมได้ด้านล่างเลยครับ
Comments