พาเที่ยวคาซัคสถานฉบับ "หาทำ" เน้นๆ Mangystau คาซัคตะวันตกดินแดนลับแลที่หานักท่องเที่ยวอื่นแทบไม่เจอ
- Opp
- 31 พ.ค.
- ยาว 5 นาที
อัปเดตเมื่อ 31 พ.ค.

เดือนที่เดินทาง - พฤษภาคม 2025
Kazakhstan ดินแดนแห่งทุ่งหญ้าและขอบฟ้า ประเทศที่มีขนาดพื้นที่เป็นอันดับ 9 ของโลกแต่คนอาศัยกระจุกตัวอยู่แค่ 2 เมืองใหญ่คือ Almaty ที่นักท่องเที่ยวเยอะที่สุด และ Astana เมืองหลวงใหม่ตั้งแต่ปี 1997
คาซัคสถานเป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียกลางมีชายแดนตะวันออกติดมณฑลซินเจียงของจีน ทางเหนือติดรัสเซีย ทางใต้ติดประเทศเอเชียกลางหรือเหล่าประเทศ"สถาน"อื่นๆ ส่วนทางตะวันตกนั้นเป็นทะเลทรายแห้งแล้งติดทะเลแคสเปียน คนคาซัคนับว่าประเทศเค้าเป็นประเทศมุสลิมแต่ก็ยังเห็นว่าไม่ได้เคร่งครัดขนาดหลายๆประเทศ
ทริปนี้เดินทางรวมแล้ว 10 วันแต่เวลาเที่ยวมีแค่ 8 วันเพราะเวลาไฟลท์บินทุลักทุเลมาก ถึงปกคลิปจะบอกว่าไปเที่ยว Mangystau (มังกิสเทา) แต่เราก็ไปเที่ยวฝั่ง Almaty ด้วยเช่นกัน ให้ดูตารางคร่าวๆตามนี้ครับ
Day 0: เครื่องออกประมาณ 6 โมงเย็น ต่อเครื่องหนึ่งครั้งที่กาตาร์
Day 1: เครื่องลงประมาณ 8 โมงเช้าที่ Almaty รับรถเช่าและขับมุ่งหน้าสู่ Kolsay Lake
Day 2: เที่ยวบริเวณ Kolsay Lake, Kaindy Lake และ Charyn Canyon กลับมาที่ Almaty เพื่อบินไป Aktau ใน Mangystau เพื่อรอทัวร์วันรุ่งขึ้น
Day 3 - 7: เที่ยวกับทัวร์ส่วนตัวรอบๆ Mangystau คืนวันที่ 8 บินกลับไป Almaty
Day 8: เดินเล่นในตัวเมือง Almaty ก่อนกลับบ้านคืนนี้
Day 9: ขึ้นเครื่องกลับบ้าน
เท่าที่ทำการศึกษาระหว่างวางแผนและก่อนเดินทาง ก็เห็นว่าคนมากมายนิยมไปเที่ยวกันฝั่ง Almaty ทางตะวันออกของประเทศแต่เผอิญผมเองไปเห็นโฆษณาของอะไรไม่รู้แล้วมันเป็นคาซัคที่สวยมากแล้วค้นคว้าจนพบว่าที่นั่นคือ Mangystau ภูมิภาคทางตะวันตก
ตอนแรกก็อยากจะขับรถเองแบบที่ชอบทำในทุกที่ที่ไปแต่เท่าที่แหวก Google Maps ดูแล้วหลายๆที่ไม่มีถนนและไม่มีเส้นทางบอกใดๆใน Google Maps แต่มันโคตรสวยจนอยากจะไปให้ได้เลยเปิดหาบริษัททำทัวร์ท้องถิ่นแล้วหาอยู่นานว่าบริษัทไหนรับจัดทริปแบบที่เราต้องการได้บ้างจนไปลงเอยกับ https://redmaya-travel.kz/ พนักงานที่คุยกันทางอีเมล์น่ารักมาก ตอบไวและไม่มีท่าทีอิดออดเวลาเราถามอะไรเยอะแยะ
ส่วนการเตรียมตัวนั้นพนักงานเค้าอธิบายให้ละเอียดมาก ผมเอามาเล่าไปเลยน่าจะทำให้การอ่านสนุกมากขึ้น การเที่ยวแถว Almaty ก็จะง่ายกว่ามากเพราะถนนอะไรก็ดีแล้วมีโรงแรมนอนปกติ แต่ว่าที่ Mangystau นั้น
ทั่วทั้ง Kazakhstan ควรโหลดแผนที่ Google Maps แบบ offline ไว้ด้วยเพราะสัญญาณโทรศัทพ์มีแค่ในเขตเมืองเท่านั้น
ไม่มีโรงแรมอยู่ตามที่เที่ยวเลย เรียกว่าไม่มีคนอยู่ด้วยซ้ำ ไม่มีบ้าน ไม่มีเสาไฟ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ บางที่ไม่มีแม้แต่ถนนราดยาง
การเดินทางจะอยู่บนรถ 4x4 ตลอดทางและนอนในเต้นท์ กินข้าวกลางแจ้ง อาบน้ำในเต้นท์ (อย่าคาดหวังมากกับการอาบน้ำ) หรือเข้าห้องน้ำก็ทำหลังก้อนหิน
กระเป๋าใหญ่ที่เอามาจากบ้านไม่สามารถเอาไปกับทัวร์ได้เพราะที่นอนมันเล็ก เค้าแนะนำให้เอากระเป๋าแยกใบเล็กไปแล้วฝากกระเป๋าใหญ่ไว้ที่ออฟฟิศทัวร์
อย่าคิดว่าจะหล่อจะสวยจะแต่งหน้าจะเซ็ตผมเพราะโอกาสล้างหน้าล้างหัวให้สะอาดค่อนข้างยากจากน้ำที่มีจำกัด น้ำที่ใช้ในแคมป์คนงานต้องเติมไปจากในเมือง
อากาศในเดือนพฤษภาคมจะร้อนช่วงกลางวันแต่กลางคืนก็จะเย็นลง บางทีก็หนาวแต่จะค่อนข้างพอดีกับการนอนในถุงนอน ช่วงกลางวันแดดเปรี้ยงแต่ลมเย็นสบายมากๆ อากาศค่อนข้างแห้ง
เพราะทัวร์ทั่วไปของเค้าจะไปนาน ถึง 8 วันและเค้ารวมเที่ยวสุสานมุสลิมโบราณเยอะมาก เราเลยขอให้เค้าจัดแบบพิเศษ ตารางทัวร์ของกลุ่มเราจะเน้นสั้น (เพราะมีภาระ) แต่ไปเฉพาะสถานที่ระดับมหัศจรรย์ ระดับชาวไซย่าเท่านั้น
ราคาทัวร์ต่อคนที่ Mangystau อยู่ที่ USD 1,340 อาจจะดูแพงแต่ถ้าได้เห็นรายละเอียดแล้วรับรองว่าต้องคิดใหม่
ขอยืนหยัดในความซื่อสัตย์ที่จะเล่าเรื่องการเดินทางอย่างตรงไปตรงมา ทั้งด้านดีด้านแย่ ด้านที่สะเทือนใจ แต่ถ้าเรื่องแย่ๆไม่ค่อยมีก็เพราะคาซัคสถานนั้นสวยงามทั้งธรรมชาติและผู้คน คือถ้าให้เทียบกับโมร็อกโคที่ไปมาเมื่อต้นปีแล้วคนที่นี่เป็นนางฟ้าเลยล่ะ
อ่านเรื่องดราม่าที่โมร็อกโคได้ที่นี่เหมือนกันนะ https://www.nopeopletravelphoto.com/post/morocco_february2025
Day 1 จาก สนามบิน Almaty สู่ Kolsay Lake
หลังจากเดินทางข้ามคืนเราก็ได้ลงจอดที่สนามบิน Almaty สนามบินที่วิวสวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ถึงแม้เมืองนี้จะเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของคาซัคสถานแต่ก็ยังนับว่าเล็กมากถ้าเทียบกับเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บ้านเรา สนามบินก็เล็กๆน่ารัก แต่ดีมากเพราะไม่ต้องเดินเยอะเหมือนพวกสนามบินในตะวันออกกลาง

ลงเครื่องแล้วขั้นตอนการผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราบรื่น ออกมาเจอร้านเช่ารถซื้อซิมการ์ด (ที่แทบจะไม่ได้ใช้เพราะออกนอกเมืองปุ๊บเน็ตหายวับ) ระหว่างรอรับรถร้านข้าวหน้าทางออกขายเบอร์เกอร์อร่อยมาก
ทริปเรามีพี่ๆผู้หญิง 3 คนและชายหนึ่งคือตัวผม พนักงานร้านเช่ารถเค้าก็ยืนคุยกับพี่ผู้หญิงอยู่นานแต่พอผมเดินมาพนักงานก็รีบแหวกวงมาจับมือ จะอยากเชคแฮนด์อะไรขนาดนี้แล้วทำไมต้องจับแต่คุณผู้ชาย ทำให้งงมาก 555
เอาเป็นว่าขั้นตอนรับรถต่างๆเป็นไปอย่างราบรื่น ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี พอขับรถออกมาสถานที่แรกที่อยากไปก่อนเลยคือ Big Almaty Lake ที่อยู่ใกล้กับเมืองมากๆ พอขับไปจนใกล้ถึงพบว่าเราไม่สามารถขับรถเข้าไปถึงทะเลสาปได้แต่ต้องเดินเข้าไป ยืนงงอยู่ตรงนั้นซักพักจนเดินเข้าไปถามคนคาซัคที่เดินผ่านไปมา เค้าพูดภาษาอังกฤษกันไม่ได้แต่ว่าทุกคนอยากช่วยมาก ควักโทรศัพท์ออกมาแปลภาษากันใหญ่จนพบว่าต้องเดินอีก 3 ชั่วโมงเพราะทางเค้าขาดมา 5 ปีแล้ว โหไม่คิดจะซ่อมกันบ้างหรอ พอรู้แบบนี้เลยตัดสินใจไม่ไปต่อเพราะว่าที่พักที่จองไว้ต้องเช็คอินภายใน 6 โมง
ระยะทางจากตรงนี้สู่ที่พักใช้เวลาทั้งหมด 5 ชั่วโมง ที่พักคืนนี้คือ Hotel Kolsay Eki Agayindy ที่จองที่นี่เพราะเป็นที่เดียวที่จองออนไลน์ได้ ที่อื่นๆเหมือนว่าต้องโทรมาจองเท่านั้นซึ่งในฐานะนักท่องเที่ยวจะให้ทำยังไง
Black Canyon
ถนนที่ผ่านมาผ่านทั้งทุ่งหญ้ากว้างใหญ่และเข้าในหุบเขา ก่อนจะถึงโซนภูเขาหิมะเราก็ต้องผ่าน Black Canyon ให้ได้จอดพักขาพักก้นลงไปยืดเส้นเดินถ่ายรูปกันก่อน ทุ่งหญ้าสเตปป์ที่นี่เรียบยาวสุดสายตาแต่ก็จะมีแคนยอนตัดผ่านเป็นร่องลึกเป็นจุดๆและแม่น้ำสายนี้เชื่อมต่อกับแม่น้ำที่ Charyn Canyon ที่เราจะไปพรุ่งนี้ตอนขับรถกลับ Almaty
ขับตามทางไปอีกหน่อยก็จะเข้าสู่เมือง Saty และตรงนี้ต้องคอยมองป้ายโรงแรม Hotel Kolsay Eki Agayindy ทางขวาดีๆเพราะเส้นทางบนแผนที่ดูไม่รู้เรื่อง บนรีวิวบอกว่าขับเข้าหมู่บ้าน Kurmeti แล้วจะเห็นบ้านสีขาวหลังใหญ่นั่นแหละที่พักเรา บ้านนี้เป็นฟาร์มอยู่ท่ามกลางชุมชนเลี้ยงวัวม้าแกะ เดินๆแถวนี้อาจจะต้องทำใจว่าจะเหยียบอึใครเข้าแน่นอน 555

Kolsay Lake
หลังจากเช็คอินแล้วโดยต้องใช้ Google Translate ที่โหลดแบบออฟไลน์มาเพราะตรงนี้ก็ไม่มีเน็ตเช่นกัน พอเข้าห้องแล้วฟ้ายังสว่างอยู่เลยตัดสินใจไปเที่ยวหนึ่งที่ก่อนเลยเพราะพรุ่งนี้เวลาน้อยมาก Kolsay Lake ชื่อดังก็อยู่ใกล้ๆด้วย การขับรถเข้าไปมีค่าใช้จ่ายที่ 3,000 Tenge (เทงเกอะ) หรือประมาณ 200 บาท ทะเลสาป Kolsay สามารถเอารถมาจอดข้างหน้าได้เลย เที่ยวง่ายมาก จอดรถแล้วยังต้องเดินอีกนิดหน่อยเพื่อลงไปที่ริมน้ำ ตามทางจะเห็นร้านเช่าชุดถ่ายรูปพร้อมนกอินทรีเกาะแขน
มองจากตรงนี้ก็สวยแล้วนะ ฟ้าจะครึ้มๆหน่อยแต่ฤดูนี้หญ้าเขียวชะอุ่มสบายตา อากาศเย็นกำลังดี นักท่องเที่ยวไม่หนาแน่นทำให้เดินเล่นได้แบบสบายใจมากๆ
ช่วงปลายของฤดูใบไม้ผลิแล้วแต่ดอกไม้ป่าหลายชนิดก็ยังบานปกคลุมทุ่งหญ้าหนาแน่น เดินเข้าไปใกล้ริมน้ำมากขึ้นจะเห็นว่ามีทางเดินกระดานไม้ที่อ้อมริมทะเลสาปเข้าไปช่วงกลางของทะเลสาปได้และตรงนี้มีบริการเรือถีบอีกด้วย ถือเป็นที่เที่ยวแบบ "วอร์มอัพ" ที่เหมาะสมมากกับการเดินทางที่ยาวนานตั้งแต่นั่งเครื่องบินจากบ้านมาถึง Almaty และ ขับรถอีก 5 ชั่วโมงมาที่นี่
Day 2 Kaindy Lake และ Charyn Canyon แล้วบินไป Mangystau
หลังจากไปเที่ยวทะเลสาป Kolsay มาแล้วเราได้จองอาหารเย็นเอาไว้ที่บ้านพักด้วยเพราะในรีวิวบอกว่าอาหารอร่อยนะ แต่พอได้กินจริงแล้วก็เกิดอาการสงสัยว่ารีวิวนี้ให้คนที่บ้านเขียนกันเองป่าวน้า 555

ก่อนจะกินข้าวเช้าและความ jetlag ตื่นตั้งแต่ตี 4 ซึ่งพระอาทิตย์ก็ขึ้นไปแล้ว ไหนๆก็นอนต่อไม่ได้แล้วก็ออกมาเดินเล่นแถวที่พักหน่อย ออกมาหน้าบ้านก็ได้เห็นภาพนี้เลย อาหารไม่อร่อยแต่วิวอร่อยมาก
นอกจากคอกสัตว์แล้วที่หมู่บ้านนี้ยังติดลำธารน้ำใสไหลเย็นที่เราเดินไปได้ใกล้ๆ ริมลำธารเต็มไปด้วยหินแม่น้ำกลมมน กอหญ้าและดอกไม้ป่าดอกเล็กๆ ทุ่งหญ้าสีเขียวอ่อน ฝนตกลงมาเมื่อคืนทำให้พึ่งตรงนี้ชุ่มน้ำมาก มีเวลาหลายชั่วโมงกว่าคนอื่นจะตื่นเราเลยคิดจะเดินขึ้นเขาไปดูวิวแต่เดินไปแล้วติดลำธารโคลนที่เกิดจากน้ำฝนที่ไหลจากยอดเขาลงมาสู่หุบเขา
ว่าแล้วเดินกลับมาหาข้าวเช้ากินก็เจอช็อกโกแลตหินเจ้าเดิมวางอยู่ ตอนเช้าได้กินไข่กินแป้งตามสไตล์ประเทศแถบๆนี้ หลังจากนี้ก็ค่อยๆเก็บของและออกไปเที่ยวกันที่ Kaindy Lake
Kaindy Lake
ขับรถออกมาจากบ้านไม่นานก็จะเห็นป้ายชี้เข้าไปทะเลสาป Kaindy แต่พอได้เห็นถนนทางเข้าแล้วถึงกับจอดเพราะว่าทางเป็นแบบ off-road เป็นดินโคลนหลุมบ่อร่องลึก แบบว่าถ้าเข้าไปเองคงไม่ได้เอาชีวิตกลับมาด้วย พอดีว่าถอยกลับเข้าเมืองที่ผ่านออกมามีรถตู้แบบโซเวียตจอดเป็นวินรถตู้อยู่ พอเข้าไปถามก็เลยรู้ว่าเค้ารับจ้างพาเข้าไปในทะเลสาป ติดต่อราคาแล้วเค้าเรียก 30,000 Tenge สำหรับรถจี๊บคันเล็กและ 34,000 สำหรับรถตู้คันใหญ่ คนเราน้อยขอคันเล็กก็พอ ถึงจะคันเล็กแต่ก็เท่เหมือนกัน คนขับแก่หง่อมมากคุณพี่ สงสัยเด็กๆจะขับไม่เป็นกันแล้ว
รถเก่าแบบนี้เป็นเหล็กทั้งคันเวลาขับบนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อขรุขระก็จะส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดตลาด นั่งไปแล้วไส้อาจจะกลับมาอยู่ด้านบน นั่งรถนี้ทั้งลุยโคลนและข้ามแม่น้ำเป็นเวลา 45 นาที ตอนคุยราคายังแอบคิดว่าค่ารถแพงเว่อมากแต่พอได้เห็นทางแล้วยอมเลย ให้ลุงเค้าไปเถอะ
และแล้วลุงก็พาเรามาถึงที่วินจอดม้าเป็นร้อยตัวเหมือนที่เห็นในหนังคาวบอย เอาจริงๆเราไม่ได้อยากขี่ม้าแต่ว่าคุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง ยืนงงอยู่ในดงม้าจนสุดท้ายเดาเอาว่าจะเข้าไปถึงทะเลสาปได้ต้องขี่ม้าอย่างเดียว เพราะเห็นทางคือมันขึ้นเขาชันเลยตกลงค่าม้าว่าคนละ 7,000 Tenge
ระหว่างทางขี่ม้าขึ้นไปริมผาชัน ฝนก็ตกลงมาไม่ขาดสายเกิดเป็นทิวทัศน์ลึกลับเมฆบดบังภูเขาเป็นบางส่วน ที่กลัวก็คือทางที่แคบเหลือเกินแล้วยังมีม้าสวนกันอีก แต่น้องๆก็ดูชินทางดีน่าจะปลอดภัยละมั้ง
ระหว่างขี่ม้าอยู่บนเขาก็มองลงไปเห็นด้านล่างว่า อ้าว! มีทางให้คนเดินได้นี่นา คุยกันไม่รู้เรื่องจนได้ขี่ม้าแบบงงๆ เวลาที่ขี่ม้า 30 นาทีผ่านไปอย่างช้าๆฝนตกลงมาจนเสื้อชุ่มประมาณนึง มาถึงจุดจอดแล้วคนจูงม้าก็บอกว่าเดินไปดูได้ 30 นาทีแล้วกลับมาขึ้นม้าที่เดิมเพื่อกลับไปที่รถจี๊บเพื่อกลับไปที่รถเรา เป็นการเที่ยวที่หลายต่อมากๆ 555
เดินมาแค่ไม่นานก็จะเห็นกับจุดถ่ายรูปที่ทุกคนบอกว่าเหมือนเรามาโผล่ที่ฮอกไกโดเพราะเหล่าต้นไม้ตายในทะเลสาปสีฟ้า turquoise
ใช้เวลาที่นี่เยอะกว่าที่วางแผนไว้มากเพราะตอนหาข้อมูลก็ไม่ยักเจอว่าต้องนั่งรถต่อม้าขนาดนี้ เข้าใจมาตลอดว่าขับรถเข้ามาได้เลย ทีนี้เราก็สายมากแล้วทำให้ไปเที่ยวที่ต่อไปด้วยเวลาน้อยนิด รีบกลับออกไปแล้วขับรถมุ่งหน้าสู่ Charyn Canyon
Charyn Canyon
ระหว่างทางฝนตกมาตลอดจนเราพ้นหุบเขาออกมา ตรงนี้ฟ้าเปิดเห็นยอดเขาที่จมเมฆอยู่ตอนขามา เมฆพวกนั้นคงเทหิมะลงบนยอดเขาอยู่จนเช้าวันนี้เห็นได้ห็นหิมะเต็มยอดเขาแบบนี้
Charyn Canyon จะอยู่ระหว่างทางกลับเมือง Almaty และต้องเสียค่าเข้าต่อคันรถที่ 3,000 Tenge อีกเช่นเคย เข้ามาแล้วที่จอดหายากพอสมควรเลยเพราะที่นี่ใกล้เมืองมาก ตรงนี้มีร้านข้าวหน้าตาดีให้พักกินข้าวด้วย พอกินเสร็จก็ต้องรีบวิ่งลงไปเที่ยวถ่ายรูปเพราะมีเวลาอยู่ตรงนี้แค่ไม่ถึงชั่วโมงเพราะต้องไปขึ้นเครื่องให้ทันที่ Almaty
การเดินเที่ยวทำได้สองเส้นทางด้วยกันคือเดินด้านบนหน้าผามองลงไปข้างล่าง จะมีศาลาชมวิวอยู่ตามทางที่ไกลพอสมควรแต่เดินไกลเท่าไหนก็เป็นเรื่องของเรา มองลงไปก็จะเห็นคนเดินอยู่ในหุบเขาด้วยและถ้าเดินต่อไปจนสุดทางจะพบกับแม่น้ำ Charyn ท่ามกลางผาหิน
แต่แน่นอนเราเวลาไม่พอจะไปดูแม่น้ำนั้นแต่ก็ยังได้วิ่งลงบันไดมาถ่ายรูปด้านล่างหุบเขาอยู่นะ
หลังจากเราทัวร์ชะโงกกันที่ Charyn Canyon แล้วก็บึ่งรถเข้าเมืองเพื่อไปให้ทันเครื่องบินเที่ยว 2 ทุ่มครึ่งไปสนามบิน Aktau เมืองหลวงแห่งภูมิภาค Mangystau
พอเข้าเขตเมือง Almaty ปุ๊บพนักงานของ Redmaya Travel ก็รีบโทรมาทาง Whatsapp และดูเหมือนพยายามติดต่อเราหลายครั้งแล้วแต่เราไม่มีอินเตอร์เน็ตจ้า ตามที่นัดแนะไว้กันคือเมื่อเราลงเครื่องที่ Aktau แล้วเค้าเตรียมรถมารับไปโรงแรมคืนนี้ให้พักผ่อนก่อนไปทัวร์พรุ่งนี้ที่เริ่ม 8 โมงครึ่ง คืนนี้ก็ทำการจัดกระเป๋าเล็กแยกเพื่อเอาไปทัวร์และของที่ไม่ได้ใช้ใส่กระเป๋าใหญ่ฝากไว้ที่ออฟฟิศทัวร์
Day 3 เริ่มต้นทัวร์ Mangystau - Karynzharyk

คิดว่าหลายคนยังไม่เคยได้ยินชื่อ Mangystau มาก่อนเพราะคนที่มาเที่ยวคาซัคสถานส่วนใหญ่จะไปที่ Almaty เป็นหลักแต่ความอยากรู้อยากเห็นของเรามันทำให้เอาตัวเองมาอยู่ตรงนี้ พอกินข้าวเช้าเสร็จที่โรงแรมคนขับรถก็มายืนรออยู่แล้วพร้อมแนะนำตัวด้วยชื่อพื้นเมืองที่เราออกเสียงตามไม่ได้เค้าเลยบอกว่าเรียกผมว่าจอนนี่ก็ได้
เอาของขึ้นหลังรถทั้งหมดแล้วเค้าก็พาเราไปที่ออฟฟิศเพื่อจ่ายเงินที่เหลือจากที่เราจ่ายมัดจำค่าทัวร์ 20% ก่อนหน้า ระหว่างทางก็พยายามคุยกับจอนนี่แต่จอนนี่บอกว่าเค้าพูดภาษาอังกฤษได้นิดเดียวแต่ในทัวร์เราจะมีไกด์ที่พูดภาษาอังกฤษได้ไปด้วย
ที่ออฟฟิศทัวร์อยู่ในตึกเก่าๆหน่อยตอนเห็นก็ตื่นตระหนกเล็กแต่ แต่เค้าก็ออกมาทักทายด้วยภาษาไทยว่า "สวัสดีค่า" ที่เค้าน่าจะเตรียมมาก่อน ถึงจะเล็กน้อยแต่ก็น่ารักมาก ตรงนี้ได้เจอกับไกด์ที่แนะนำตัวว่าอะไรไม่แน่ใจแต่สุดท้ายเราเรียกเค้าว่ามอรี่เพราะเค้าบอกพ่อแม่เค้าก็เรียกชื่อนี้ ว่าเราหน้าแก่ป่าวนะ 555
พอจัดที่บนรถแล้วปรากฎว่าเราจะมีรถสำหรับกลุ่มเรา 2 คันสำหรับคน 4 คน และจะมีรถอีกคันที่ลากรถลากอีกที เท่ากับเรามีรถ 3 คันและพนักงาน 6 คน พนักงานเยอะกว่าลูกค้าอีกจ้า รู้แล้วถึงกับเขิน ระหว่างทางไกด์ก็เล่าอีกว่าบางทัวร์ไกด์กับคนขับเป็นคนทำกับข้าวกางเต้นท์และไม่มีรถคันที่สาม เลยถามไปว่าทำไมของเรามีอ่ะ เค้าเลยบอกก็คุณพี่จองมาแบบนี้ แต่ที่ไหนได้เราก็ไม่รู้ว่ามันมีตัวเลือกอื่น สรุปคือจองทัวร์แบบดีลักซ์แพ็กเกจมาแบบไม่รู้ตัว ทัวร์นี้เลยลำบากแบบสบายๆ
มอรี่เล่าให้ฟังว่าจริงๆมีงานประจำอยู่แล้วเป็นพนักงานของบริษัทค้าน้ำมันเพราะนี่คือเศรษฐกิจหลักของคาซัคสถาน แล้วมาเป็นไกด์แบบพาร์ทไทม์ ยังเล่าต่อว่ามาทัวร์ทีนึงต้องพักร่างกาย 10 - 15 วันเพราะมาทัวร์แบบนี้เป็นภาระร่างกายมาก พอฟังแบบนี้เลยเริ่มหวั่นๆ 555
แวะกินข้าวปรับพื้นฐาน
ที่บอกว่าปรับพื้นฐานเพราะว่าอีกหลายวันหลังจากนี้เราจะกินข้าวกลางแจ้ง เข้าห้องน้ำกลางแจ้ง และมันตลกมากที่ทัวร์พาเราจอดกินข้าวตรงที่ถนนราดยางมะตอยหมดพอดี ตรงนี้เป็นระหว่างทางไปที่ Karynzharyk ที่เที่ยวแรกระดับตำนานที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ไกลมากต้องใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองประมาณ 6 ชั่วโมง
เรากินข้าวมื้อแรกกันที่ถนนลูกรังตรงขอบเมือง Kulandy ถ้าดูดีๆบ้านคนอยู่หลังรถไปไม่ไกล เซ็ตอัพเวลากินข้าวก็จะประมาณนี้ตลอดคือมีเต้นท์ที่เป็นห้องครัวและมีโต๊ะกินข้าวของเราที่ไกด์และหัวหน้าคนขับจะกินด้วย ถ้าแดดแรงอย่างตอนนี้เค้าก็จะกางเต้นท์มาครอบให้แบบนี้ อาหารก็มีมากพออิ่มเลย รสชาติอร่อยกว่าที่บ้านพักคืนก่อนมาก เรื่องกินรอดแล้ว

หลังกินข้าวถ้าใครปวดห้องน้ำต้องทนนิดนึงเพราะภูมิประเทศส่วนใหญ่ของ Mangystau เป็นทุ่งหญ้าสเตปป์ (steppe) ที่แบนราบแบบไม่มีอะไรอยู่บนขอบฟ้าเลย ไม่มีต้นไม้ ไม่มีก้อนหิน ไม่มีบ้าน ไม่มีเนินเขา นานๆทีจะเจอกับกองหินหรือบ้านร้างหรือเนินทรายย่อมๆ คนขับเค้ารู้ดีจะคอยจอดหรือคอยถามเมื่อเจอที่ที่มีกำบังให้เราไปทำธุระได้
เส้นทางจากนี้ไปเป็นทางลูกรังทั้งหมด ทางที่รถวิ่งซ้ำๆจนเป็นร่องล้อลึก มีกระโดกกระเดกเป็นระยะๆ การนั่งหลังสำคัญมากไม่งั้นจะปวดหลังได้ คนขับเค้าก็พยายามที่จะขับให้มันสะเทือนน้อยที่สุดพร้อมกับต้องทำเวลาเพราะที่ตั้งแคมป์อยู่ไกลมากจนเกือบทะลุชายแดนไปเติร์กเมนิสถาน ระหว่างทางก็ยังมีกะใจถามว่าจะให้จอดรถถ่ายรูปอูฐรูปม้าที่เดินเร่ร่อนบนทุ่งกว้างด้วยมั้ย การเปิดกระจกถ่ายรูปควรให้รถหยุดสนิทแล้วมั่นใจว่าฝุ่นเลิกฟุ้งแล้วไม่งั้นคนในรถได้กินฝุ่นเป็นอาหารว่างกันแน่นอน
Karynzharyk คารีนจารีค
ระหว่างทางที่แบนราบที่นานๆทีจะมีเนินทรายเล็กๆเป็นแนวยาวสุดซ้ายขวาให้รถเราข้าม จุดเหล่านั้นทำให้เรามองไม่เห็นว่าข้างหน้าต่อจากนั้นมีอะไร และทุกครั้งที่เราจะข้ามสันทรายเตี้ยๆนี้ในใจก็หวังตลอดว่าข้ามไปแล้วคงจะได้เห็นจุดหมายปลายทางแล้วแน่ๆ แต่มันก็ไม่เคยเป็นจริงเลยซักครั้ง หนทางช่างแสนไกล ตอนนี้หายสงสัยแล้วว่าทำไมไกด์ต้องพัก 10 วันหลังจากมาทัวร์หนึ่งครั้ง
จนเมื่อเราทำใจให้สงบและเลิกจดจ่อกับระยะทางเราก็เริ่มเห็นขอบเหวของ Karynzharyk ที่ราบต่ำกว่าน้ำทะเลเป็นแอ่งหรือที่เรียกว่า depression ที่ไม่แปลว่าโรคซึมเศร้า ถึงทรายบนที่ราบด้านบนจะเป็นสีออกเหลืองส้ม แต่หน้าผาที่เห็นกลับมีสีขาวอมเหลือง แต่ถึงจะเห็นผาข้างหน้าแล้วทางก็ยังอีกยาวไกล ต้องข้ามทะเลทรายลงหน้าผาชัน จนเรามาถึงแหล่งน้ำใต้ดินที่ไหลลงไปในที่ราบเกลือที่เราจะไปถึงข้างหน้า น้ำที่ผุดขึ้นมานั้นและน้ำตรงนี้เป็นน้ำเค็มด้วยเหตุว่าที่ตรงนี้เคยอยู่ใต้ทะเลและคาดว่าน้ำทะเลได้ไหลลงดินไปเมื่อมีแผ่นดินไหวในอดีต

หลังจากบ่อน้ำผุดแล้วก็ยังต้องไปต่ออีกเกือบชั่วโมงจนถึงที่ราบริมผา คนขับลงไปสำรวจพื้นที่ว่ากางเต้นท์ตรงนี้ได้มั้ยแต่ก็ปล่อยให้เราไปเดินเที่ยวก่อน ได้ลงมาเดินแล้วหลังจากนั่งรถมาหลายชั่วโมง เหมือนคนที่หลงในทะเลทรายได้กินน้ำ ได้เห็นวิวระดับมหัศจรรย์ข้างหน้า สีขาวที่พื้นไม่ใช่หิมะแต่เป็นผลึกเกลือเป็นพื้นที่กว้างไปสุดสายตา ดูแล้วเหมือนเรายืนอยู่เหนือเมฆและภูเขาหินเหล่านี้โผล่พ้นเมฆขึ้นมา
สถานที่สวยมากขนาดนี้แต่แถวนี้มีแค่กลุ่มเรากลุ่มเดียว ราวกับว่าเราถูกพาไปอยู่บนดาวที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่
อะไรก็ช่างดูแปลกตาแม้กระทั่งบนพื้นดินที่มองไปแล้วเหมือนเศษแก้วแตกเต็มพื้นสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ เราก็นึกว่าใครกินเบียร์แล้วปาขวดทิ้งแตกละเอียดตรงนี้เหมือนที่เคยเจอในกรุงโรม แต่ที่ไหนได้มันคือแร่ธาตุ คริสตอล และผลึกเกลือที่งอกอยู่บนดินแบบไม่ต้องขุดใดๆ ไกด์ของเราก็ยังบอกด้วยว่าด้วยความที่ทั้ง Mangystau เคยอยู่ใต้ทะเลในหลายล้านปีที่แล้วทำให้บางที่เราสามารถเห็นฟอสซิลสัตว์ทะเลตามพื้นตามหินได้อีกด้วย อันนี้เค้าจะโชว์ให้ดูในวันข้างหน้า
ยืนมองออกไปที่วิวข้างหน้าตั้งกล้องขึ้นถ่ายรูป สูดอากาศที่ไม่ได้มีการเจือปนจากกิจกรรมของมนุษย์ ลมแรงปะทะร่างกายให้พอเสียวๆเวลายืนใกล้ขอบผา ที่ราบสีขาวที่สะท้อนสีของฟ้ายามพระอาทิตย์ตกที่ทอดยาวไปจนไม่รู้ว่าจบตรงไหน (ถ้าเปิด Google Maps ดูอาจจะพอรู้ 555) น้ำที่ไหลมาจากแหล่งน้ำผุดใต้ดินก็ช่วยสะท้อนสีส้มอมชมพูของท้องฟ้าด้วยเหมือนกันเหมือนเป็นกากเพชรระยับระยับบนพื้นเกลือ
ไกด์นั้นก็กลัวเราจะตกหน้าผาเป็นอะไรเลยนำทางเราเดินไปริมผานู้นนี้แล้วก็ยืนรอให้ชัวร์ว่าคนพวกนี้ไม่ทำอะไรแปลกๆ สุดท้ายเลยบอกเค้าว่ากลับไปทำธุระอะไรก่อนก็ได้นะเรากลับไปที่แคมป์เองไหว
นั่งดูวิวถ่ายรูปจนจุใจแล้วก็ปาไปสองทุ่มครึ่งแล้วเลยเลือกเดินกลับไปที่แคมป์ที่ไกด์ยืนรอบอกว่ามากินข้าวได้แล้วคุณพี่ คนอื่นเค้ารออยู่ วันนี้เลยได้นั่งกินข้าวตรงนี้กันนะ นั่งกินข้าวไปซักพักฟ้าก็เริ่มมืด

พอมืดแล้วปรากฎว่าตรงนี้มีแมงมุมพันธุ์ไม่มีพิษออกมาเดินเต็มเลยคุณน้า เราก็ไม่ใช่ไม่กลัวแต่ว่าน้องดูกลัวเราเหมือนกัน แต่ไกด์ก็ย้ำว่าเข้าออกเต้นท์ให้รีบรูดซิปปิดให้มิดนะ คืนแรกเราได้อาบน้ำนิดหน่อยโดยชาวรถคันที่ 3 ตั้งเต้นท์อาบน้ำให้ การอาบน้ำก็ทุลักทุเลพอสมควรเพราะแรงดันน้ำเกิดจากเราต้องเหยียบที่สูบลมตลอดเวลา แล้วถ้าน้ำในถังแรงดันเล็กๆหมดเราก็ต้องเอาน้ำในถังอื่นมาเติม สรุปคือการอาบน้ำควรพาบัดดี้ไปด้วย แต่น้ำมันอ่อนจริงๆจนคิดว่าแค่ล้างจุดยุทธศาสตร์เท่านั้นก็พอ ยังดีที่อากาศคืนนี้เย็นสบาย
Day 4 จาก Karynzharyk สู่ Bozhira

เช้านี้พระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่ 6 โมงเช้าตื่นมาก็สว่างแล้ว เช้านี้พวกแมงมุมก็ดูจะกลับเข้ารูกันไปหมดแล้วทางสะดวกมาก เลยออกไปเดินหาที่เข้าห้องน้ำที่วิวสวยที่สุดในโลก จริงๆแล้วมีแต่วิวแต่ไม่มีห้องน้ำแต่ตอนนี้เราก็สวมวิญญาณแมวทำธุระตรงไหนก็เอาทรายกลบ

เข้าห้องน้ำเสร็จแล้วฟ้าสวยแดดอ่อนๆกำลังดี หินก้อนเดิมแค่เวลาเปลี่ยนก็สวยในแบบที่ยังไม่เคยเห็น
เช้านี้ก็มีอารมณ์เจ้าหญิงดิสนีย์เดินดูดอกไม้ทะเลทรายที่สีสันสวยงามดอกเล็กๆตะมุตะมิน่ารัก
แฮร่! โดนหลอกด้วยแมงมุม ฉี่เสร็จนานแล้วแต่มัวโอ้เอ้อยู่ กลับมาถึงเค้าเริ่มเก็บเต้นท์กันแล้วจะไปกินข้าวก่อนออกเดินทางตอน 8 โมงครึ่ง
กินอิ่มแล้วพนักงานเค้าก็ช่วยกันเก็บเต้นท์ใส่รถแล้วเราก็ต้องนั่งรถกลับทางเดิมไปอีก! ท้อกับการนั่งรถ แผนวันนี้คือนั่งรถกลับไปที่เมือง Kulandy ที่จากมาแล้วก็หาข้าวแกงกินกันเลยเพราะวันนี้เดินทางเยอะมากจอดให้แม่ครัวทำกับข้าวไม่ทัน หลังจากกินข้าวแล้วต้องแห่ไปอีก 3 ชั่วโมงเพื่อไปถึง Bozhira
ระหว่างทางเราได้เจอกับสัตว์ป่าตัวเล็กๆมากมายเช่นน้องเต่าตัวเล็กๆแบบนี้ แล้วก็มีกระรอกทะเลทรายที่วิ่งเร็วมากถ่ายรูปไม่ทัน น้องๆชอบวิ่งข้ามถนนกันเราก็กลัวรถจะทับแต่ว่าคนขับรถเค้าก็ขับอย่างระมัดระวังนะ

Bozhira หุบเขาสีขาว
ขับรถออฟโร้ดแบบสะเทือนลำไส้มาเพื่อเจอกับความอลังการระดับอ้าปากค้างที่ Bozhira หุบเขาหินปูนกลางทะเลทราย ที่ธรรมชาติใช้เวลากว่าล้านปีในการรังสรรค์มันขึ้นมา ที่ตรงนี้ถ้าใครไม่ตั้งใจดูรูปก็จะถามว่านี่ไปเที่ยวอริโซน่ามาหรอพวกเธอ แต่ที่นี่ต่างออกไปเพราะที่อริโซน่าภูเขาต่างๆนั้นเป็นหินทรายสีแดงแต่ว่าที่ตรงนี้เป็นหินปูนทำให้ภูเขามีสีขาวเหลืองดูเท่ดูพระเอกละคร
ถ้าใครแยกไม่ออกกับอริโซน่าลองดูเทียบกันที่โพสนี้ได้ครับ https://www.nopeopletravelphoto.com/post/monument_valley_grand_canyon_2021
จุดแรกที่เราจอดกันให้ได้เห็นมุมกว้างที่เห็นทุกภูเขาแลนด์มาร์คของ Bozhira มองลงไปที่หน้าผาสีขาวแล้วก็คิดว่าบนดวงจันทร์มันจะมีหน้าตาคล้ายกันรึเปล่า หลังจากนี้เราจะเข้าไปดูแลนด์มาร์คเหล่านี้อย่างใกล้ชิดกัน
ภูเขาสันหลังมังกร (Dragon Crest) ที่ได้เห็นอย่างใกล้ชิดจากยอดผา ไม่คิดเลยว่าอะไรแบบนี้จะมีให้เห็นบนโลกมนุษย์ด้วย หินที่ตั้งสูงเป็นแผงท่ามกลางทะเลทรายสีขาวที่แบนราบ มันเหมือนว่าตรงนี้เป็นทะเลแล้วมีก็อตซิลล่าว่ายน้ำอยู่ตรงนี้ แล้วที่สุดยอดมากคือตรงนี้แทบไม่มีนักท่องเที่ยวอื่นเลย จนไกด์บอกว่าเออสงสัยเราจองแพ็กเกจดีลักซ์จริงเพราะปกติที่ตรงนี้มีคนเยอะที่สุดแล้ว
หลังจากได้ดูวิวตรงสันหลังมังกรแล้วเราก็จะเริ่มนั่งรถลงไปด้านล่างของหุบเขากันแล้วเพื่อไปที่จุดชมวิวของเขี้ยวแห่ง Bozhira หรือ Fangs of Bozhira แต่ระหว่างทางก็ค่อนข้างนานแล้วยังต้องผ่านหินหน้าตาพิลึกๆด้วยเช่นด้านล่างนี้หินเหมือนรูปเต้นท์ yurt ของชนเผ่านอแมดเลยแหละ ว่าแต่ฟ้าจะครึ้มอะไร

ขับรถอยู่ซักพักเดินขึ้นเขามาก็ได้เห็นแล้วตรงที่สุดทางเดินต่อก็จะตกผาแล้ว แล้วภาพข้างหน้ามันอธิบายเป็นคำพูดยากจัง คำว่าเวิ้งว้างมันเป็นแบบนี้สินะ และที่นี่มีสมญาว่า The Two Fangs of Bozhira Valleys สองเขี้ยวแห่งโบจิรา
ตรงหน้าคือยอดหินคู่สีขาวนวล ตั้งตระหง่านอยู่กลางแอ่งทะเลทรายกว้างแบบไม่มีจุดสิ้นสุดเหมือนเสาค้ำฟ้า ยืนรอแดดสองลอดเมฆฝนออกมาแล้วรีบกดชัตเตอร์ถี่ๆ
ที่นี่ไม่มีรั้วกันคนตกเหว ไม่มีป้ายบอกมุมถ่ายรูป ไม่มีนักท่องเที่ยว มีแค่เรา ทะเลทราย และลมที่พัดแรงให้ตัวไหวๆพอจะเตือนให้รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของมนุษย์ แต่เรารู้สึกโชคดีที่ได้มาเห็นกับตาตัวเอง
หันกลับหลังไปเห็นเมฆฝนก่อตัวกันเป็นการใหญ่แต่แดดก็ยังทะเลเมฆลงมาเป็นลำแสงเจิดจ้า
ยืนดูวิวข้างหน้าอยู่จนรู้สึกมีหยดฝนเริ่มตกใส่หน้าเลยพากันเดินลงเขากลับไปที่รถเพื่อจะขับลงหุบเขาต่อไปที่ตั้งแคมป์ ระหว่างทางจอนนี่ก็พาจอดให้ดูวิวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนลงไปที่พื้นด้านล่าง

มองไปที่พื้นจอนนี่ถามว่ารู้ป่าวว่าหินนี่คืออะไร พร้อมเฉลยว่ามันเป็นหินเอาไว้จุดไฟไง ทำหน้าไม่เชื่อจอนนี่เลยเริ่มเอาหินมาขูดกันโชว์แล้วให้ดมว่าที่หินมีกลิ่นไหม้! หินนี้เข้าใจว่ามันคือ flint หรือ flintstone ที่นอกจากให้จุดไฟได้แล้วยังเป็นหินที่เอามาตีให้แตกเป็นสันคมๆเป็นอาวุธยุคโบราณอีกด้วย ถ้าดูรูปจะเห็นว่ามีส่วนคมเยอะมาก

แล้วทุกคนก็เริ่มเอาหินมาตีกันบ้างโดยถือหินไว้สองมือแล้วก็เอามาตีกันแฉลบๆเหมือนที่เคยเห็นในหนัง ซักพักเราก็พูดฮาๆว่าเอาล่ะถ้าไฟไม่ติดเย็นนี้ไม่ได้กินข้าวกันนะ ทีนี้จอนนี่ก็สนุกใหญ่ยิ่งตีแรงขึ้นจนชั่ววูบทุกคนเงียบลง มีอุ้งมือจอนนี่มีเลือดไหลพร้อมแผลลึกยาวประมาณ 1 นิ้ว เป็นแผลบาดที่คม ตรง และสะอาดมาก เท่านั้นล่ะวุ่นวายกันเลยต้องวิ่งหาชุดปฐมพยาบาล เราก็บอกให้เอาทิชชู่เปียกกดแผลไว้แล้วยกมือเหนือหัวให้เลือดหยุด คนอื่นๆก็วิ่งหาผ้าพันแผลที่คนมาเที่ยวดูเหมือนจะเตรียมมาพร้อมกว่าพนักงานทัวร์ ใส่เบตาดีนแล้วพันๆไว้ โอ้โหหมดสนุกกันเลย เราก็รู้สึกผิดว่าไม่น่าไปท้าทายเค้าเล้ย 555
จากตรงนี้เรายังต้องขับรถไปต่อ แถมพอผ่านตรงนี้เค้ายังจอดให้ถ่ายรูปอีก ขนาดนี้แล้วใครจะมีกะใจถ่ายเล่าคุณพี่ (แต่ก็ถ่ายมารูปนึงก่อนบอกว่าไปเถอะจะได้พักผ่อนกันนะ 555)

ทีแรกก็เข้าใจว่าเราจะตั้งแคมป์ตรงติดเขายอดแหลมนี้เลยแต่ไกด์บอกว่าตรงนี้ลมแรงเกินไปรถเซอร์วิสเลยเลือกไปตั้งในหุบเขาแทน เอาแบบติดเขาแบบนี้เลย ระหว่างกินข้าวเย็นพวกเราก็พยายามจะนำเสนอยาแก้ปวดให้จอนนี่แต่เฮียก็บอกว่าเรื่องเล็กทุกคนไม่ต้องซีเรียส พอได้ยินแบบนั้นก็ไม่คะยั้นคะยอแล้วกัน

วันนี้เป็นวันที่คนขับรถเหนื่อยมากด้วยระยะทางที่แสนสาหัส ไกด์เลยเฉลยให้ฟังว่าจริงๆโปรแกรมที่เที่ยวของเราปกติเค้าทำกัน 7 วันแต่ไม่รู้ยังไงคนที่ออฟฟิศจับยัดเข้าไป 5 วันได้ แล้วการไป Karynzharyk วันแรกคนไม่ค่อยไปกันเพราะความที่ไกลมาก แต่เราได้ไปแล้ว น้ำตาจะไหล วันนี้อาบน้ำทุลักทุเลอีกวัน คิดถึงการถูสบู่มากเลยตอนนี้
Day 5 จาก Bozhira > Tiramisu Canyon > Ybykty Say Canyon > นอนหรูอยู่สบายที่ Shetpe Yurt Village

เมื่อคืนอากาศร้อนนิดหน่อยแล้วที่ตรงนี้กลางคืนแมลงเยอะมากแล้วมีหลายชนิดเหลือเกินที่พยายามจะเข้าเต้นท์เราเพราะเปิดไฟฉายอยู่ข้างใน เต้นท์ฉันไม่ใช่เรือโนอาไม่ต้องแห่กันมาทุกสายพันธุ์ขนาดนี้ ระหว่างนอนก็ฝนตกนิดหน่อยลมแรงพัดเต้นท์กระพือ เอาว่าคืนนี้นอนได้ไม่เต็มอิ่ม พอฟ้าเริ่มสางนกก็มาร่วมแจมเลยได้ตื่นตั้งแต่ตี 4 อยู่คนเดียว
ฟ้ายังมืดอยู่แต่ครั้นจะให้อยู่ในเต้นท์ขยับตัวหน่อยก็เสียงดังเกรงใจภรรยามาก เลยตัดสินใจไปเดินเที่ยวละกัน คืนก่อนถามไกด์ไว้ว่าถ้าจะเดินกลับไปตรง the fangs ใช้เวลานานมั้ยไกด์บอกเดิน 20 นาทีเอ๊ง
แบบนั้นก็เดินเลยสิ ฉายไฟไปตามทางถนน เดินเตาะแตะไปเรื่อยแล้วก็จับเวลาไว้ว่าเดินนานแค่ไหนจะได้รู้ว่าต้องเริ่มเดินกลับกี่โมงให้ทันกินข้าวเช้า ปรากฎคือเดินไป 45 นาทีหาใช่ 20 นาทีไม่
เป็นเช้าที่ดีอีกวัน ตรงตีนเขามีคนมากางเต้นท์ด้วย แล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนมาถ่ายรูปแบบเรา มองดูเสาหินสองแท่งใหญ่จากด้านล่างให้ความรู้สึกว่าเราตัวเล็กเหลือเกิน ที่ตรงนี้มีหลายมุมให้ได้ถ่ายรูปมากๆจากลายเส้นที่น้ำฝนลมกัดกร่อนเป็นเวลาหลายล้านปี ตามพื้นมีต้นไม้เล็กๆที่ยังพอเอาตัวรอดจากภูมิประเทศที่แห้งแล้งถูกฝุ่นที่คลุ้งจากลมและรถที่วิ่งบนทะเลทรายจนกลายเป็นสีขาวโพลน เดินตรงนี้พาให้จินตนาการว่าเดินบนดวงจันทร์
พระอาทิตย์โผล่พ้นยอดผามาแล้วส่งให้หน้าของหินเริ่มสว่าง ดูเวลาต้องเดินกลับแล้วไม่งั้นคนอื่นจะรอกินข้าวแล้วอาจจะกังวลว่าตานี่หายไปไหนคนเดียว ระหว่างทางยังพอได้ชื่นชมธรรมชาติที่ขามามืดเกินกว่าจะมองเห็นอีกด้วยรวมไปถึงได้บังเอิญเจอน้องเต่าที่ออกมาเดินเล่นแต่เช้าเหมือนกัน
กินข้าวเสร็จยังเหลือเวลาก่อนจะออกไปเที่ยวต่อไกด์เลยเดินไปหยิบฟอสซิลมาให้เราดู แต่ด้วยความที่เป็นคนกวนตีนเลยถามว่าพกมาจากบ้านมาหลอกเรารึเปล่า ไกด์เลยเดือดร้อนต้องพาไปดูฟอสซิลของสัตว์ทะเลจากหลายล้านปีก่อนที่ยังติดอยู่ในดินในหินแบบนี้
เหมือนไกด์หมั่นไส้เราเลยทำเป็นเดินโคตรเร็ว เดินเหมือนไม่เหนื่อย เดินแบบแพะภูเขา คนเดินตามหอบจะตายไกด์หันมาพูดเรื่องฟอสซิลไม่มีสะดุด
พอตรงแคมป์เค้าเก็บของเสร็จแล้วเราก็ออกรถไปกันต่อ ก่อนจะออกจาก Bozhira เราจอดที่สุดท้ายก่อนที่ตีนเขาของสันหลังมังกรให้ได้ดูแบบใกล้ชิดอีกที่ ตรงนี้อยู่ๆก็มีคนเดินมาคนเดียวแบบงงๆด้วย แต่ก็ทำให้เห็นสเกลความใหญ่ยักษ์ของแท่งหินนี้อย่างดี
Mount Bokty
ห่างกันไม่มากจาก Bozhira รถก็เลี้ยวออกจากทางหลักราดยางลงไปออฟโร้ดอีกครั้งแล้วแถวนี้มองไปเหมือนไซต์ก่อสร้างนิดหน่อย แล้วอยู่ดีรถก็จอด ไกด์ลงมาบอกว่าจอนนี่บอกว่าตรงนี้มีฟอสซิลเท่ๆเยอะเลย อย่างรูปข้างล่างนี้คือฟันของฉลามดึกดำบรรพ์! ของแท้แน่นอนเพราะเห็นมันฝังอยู่ในดินตื้นๆแต่ก็เอามือหยิบออกมาได้เลย
ดินแถวนี้ประหลาดมากเพราะมีหินแผ่นๆหน้าตาเหมือนเหล็กขึ้นสนิมซึ่งในหินนี้ก็มีแร่เหล็กอยู่จริงๆ แต่ดูแล้วเหมือนภูเขาเท่ๆลูกนึงเลยแต่ว่ามันสูงแต่หน้าแข้งเท่านั้นเอง เรียกว่าภูเขามดก็ว่าได้

เดินหาฟอสซิลจนพอใจรถก็ไปต่อและเห็นมาแต่ไกลคือ Mount Bokty สีหวานเย็น เป็นเขาลูกใหญ่เดี่ยวๆไม่มีใครข้างเคียงเลยและพื้นรอบๆเรียบสนิทขนาดที่คนขับเร่งเครื่องเหมือนหนีตำรวจก็ไม่สะดุด
ที่เขามีสีแบบนี้เกิดจากแร่ธาตุที่อยู่แต่ละชั้นของหินเช่น สีแดงคือแร่เหล็กที่เกิดปฏิกิริยา oxidation หรือขึ้นสนิม สีขาวเหลืองคือหินปูน และส่วนบนสีเขียวๆคือดินโคลนเหมือนที่เราเห็นตามป่าชายเลนบ้านเรา
Tiramisu Canyon
ภูเขาแถบนี้มีสีแบ่งเป็นชั้นชัดเจนมากจนนักท่องเที่ยวชาวอิตาลีตั้งชื่อว่า Tiramisu Canyon แต่เค้ามีชื่อจริงว่า Kyzylkup ที่อยู่ใกล้ๆกับ Mount Bokty
เขาแถวนี้คนจะเดินไปตรงไหนก็ได้ตามใจชอบมากๆ ไกด์มอรี่ก็เลยโชว์เดินทางชันขึ้นไปไม่พูดจาแบบว่าเดี๋ยวพวกเอ็งก็ต้องเดินตามมา ได้เห็นมุมสูงแล้วลายของเขายิ่งชัดเจน มองลงไปภรรยายอมแล้วเลยได้รูปตัวเล็กๆ
พ้นยอดเนินมองออกไปมอรี่บอกว่าลูกค้าทัวร์อื่นบอกว่ามุมนี้มันแคนยอนคาปูชิโน่นี่ เออมันก็เหมือนนะ
เดินๆอยู่มองไปเห็นเหมือนใครทำไก่วิงซ์แซ่บตกอยู่ที่พื้น ที่ไหนได้อันนี้หินมิใช่ฟอสซิลไก่เคเอฟซี

Ybykty Say Canyon
ต่อจากนี้นั่งรถยาวๆอีกแล้ว แต่นานเท่าไหร่ก็ไม่แน่ใจเพราะว่าหลับตลอดทาง หลับชดเชยที่กลางคืนนอนยากนอนเย็นนี่แหละ แล้วบางทีแดดก็ร้อนมากมันก็จะเพลียๆหน่อย ระหว่างทางเราก็ได้จอดกินข้าวกลางแจ้งก่อนจะเข้าไปถึง Ybykty Say Canyon เป็นหุบเขาหินปูนเล็กๆแต่หน้าตามันพิลึกพิลั่น
พื้นที่นี้ในอดีตจมอยู่ใต้แม่น้ำ ด้วยน้ำที่ไหลผ่านเป็นเวลาหลายสิบล้านปีเกิดเป็นร่องหินคดเคี้ยวแต่เมื่อแม่น้ำแห้งลงหุบเขานี้โผล่พ้นน้ำขึ้น น้ำที่หยดลงมาจากบนหุบเขาเซาะกร่อนบ่อนทำลายให้หินเกิดเป็นรูพรุนแบบนี้ให้คนที่เป็นโรค Trypophobia ได้ขนลุกเล่น แต่สำหรับคนไม่กลัวรูปร่างซับซ้อนมากมายรอให้คนมาตามหาเก็บภาพไว้ไปอวดคนที่บ้าน
นอกจากเดินดูด้านในร่องหินแล้วมอรี่ก็ยังพาเราเดินไปดูด้านบนที่มองลงมาในร่องด้านล่างได้ด้วย มองๆดูแล้วทำไมหินตรงหนี้หน้าตาเหมือนเห็ดออรินจิ แต่ในร่องหินนี่มันสยองมาก เหมือน The Upside Down ในซีรี่ย์ Stranger Things เลย ตอนเรามาเที่ยวตรงนี้มีคนคาซัคมากางเต้นท์ปาร์ตี้กันหลายสิบคนด้วย เปิดเพลงลั่นเด็กๆวิ่งกันเต็ม เด็กมากวนตีนไกด์เราเลยโชว์ด่าเด็กด้วย 555
ก้าวข้ามความกลัวรูไปได้ก็จะได้เห็นความสวยงามของรูปร่างประหลาดเหล่านี้ มองแล้วก็สงสัยว่าธรรมชาติทำให้เกิดสิ่งนี้ได้ยังไง ฉงนงงงวยเป็นอย่างมากจริงๆ
ที่พัก Etno-aul Kogez
เที่ยวจบแล้ววันนี้และเราเข้าที่พักกัน วันนี้จะได้นอนเต้นท์แบบชาวนอแมดเร่ร่อนที่สมัยก่อนอาศัยอยู่ที่แผ่นดินคาซัคสถานและเอเชียกลาง เป็นวันที่เหมือนโปรแกรมทัวร์เค้าจัดไว้ให้เราได้พักผ่อนอย่างเต็มที่จากการเร่ร่อนมาหลายวัน บรรยากาศที่นี่ดีมาก คุณป้าเจ้าของที่พักปลูกต้นไม้เก่งมากมีดอกกุหลาบดอกเท่าหน้าหลากหลายสีเลย ป้าบอกว่าดอกกุหลาบมันบานวันนี้รอต้อนรับกรุ๊ปเธอเลยนะ นี่สิสมกับเป็นดีลักซ์แพ็กเกจ ที่นี่มีเตียง (แต่ต้องใส่ปลอกหมอนปลอกผ้าห่มและปูผ้าบนเตียงเอง) มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำแบบแชร์ แต่แค่นี้ก็พอใจแล้ว
ถึงจะนอนรีสอร์ทวันนี้แต่เรายังได้กินอาหารคุณป้าจากรถเบอร์ 3 อยู่ เค้ากางโต๊ะอะไรให้เรียบร้อย ระหว่างกินข้าวไกด์ก็บอกว่าเดี๋ยวจะมีเด็กนักเรียนมาแสดงดนตรีพื้นบ้านให้ดูนะ อันนี้ควรเตรียมเงินสดไว้ทิปให้น้องๆด้วยนะครับน้องๆเค้าแสดงดีมาก แต่ละเพลงมีเนื้อหาสอนใจคล้ายๆเพลงเพื่อชีวิตของพี่แอ๊ดคาราบาว
คืนนี้จบด้วยการนั่งคุยกับมอรี่หรือจริงๆเราเป็นฝ่ายซักถามเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของคนคาซัคมากกว่า เล่าคร่าวๆคือการเป็นเผ่าเร่ร่อนของชาวเผ่าในคาซัคจบลงเพราะการที่คาซัคขอร้องให้จักรวรรดิรัสเซียมาช่วยต่อสู้กับชาวจีนที่มีชายแดนติดกันตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18
ราชวงศ์รัสเซียพร้อมจะช่วยแต่ก็ยังมีข้อแม้ว่าชาวคาซัคต้องลงหลักปักฐานเลิกเร่ร่อน แน่นอนว่าช่วงแรกก็ต้องมีการต่อต้านจากคนที่รักในวิถีชีวิตแบบ nomad แต่เทคโนโลยีทางการสงครามไม่อาจเทียบกับประเทศใหญ่อย่างรัสเซียได้จนวันนี้ชาวคาซัคไม่มีการเป็น nomad กันอีกแล้ว
การเป็น nomad ที่จริงไม่ใช่ว่าเค้าเร่ร่อนไปเรื่อยไม่มีหลักแหล่งแต่ว่าเค้ามีที่ตั้งหลักๆในแต่ละฤดูที่เค้าจะเวียนกลับไปทุกปี แต่ภายในประเทศก็ยังต่อสู้กันเองระหว่างเผ่าเพราะแย่งทุ่งหญ้าเพื่อเลี้ยงสัตว์กัน เวลาไม่รบกับต่างชาติก็จะรบกันเอง เมื่อมีศึกภายนอกก็จะร่วมมือกันสู้ภัยภายนอก
มอรี่กับจอนนี่เล่าด้วยว่าวัฒนธรรมของเค้าคือต้องจำชื่อบรรพบุรุษให้ได้ย้อนกลับไปอย่างน้อย 7 รุ่น จุดประสงค์ก็คือเวลาเจอคนแปลกหน้าแล้วเกิดจะแต่งงานกันจะได้รู้ว่าไม่ได้เป็นวงศาคณาญาติกัน ป้องกันการมีลูกในวงศ์ตระกูลแล้วลูกออกมาไม่สมประกอบหรือ inbreeding แบบชาวทาร์แกเรียน คือผมชื่อปู่ย่ายังไม่รู้เลยพี่เอ้ย
ยังมีเรื่องราวอีกมากที่ได้ฟังแล้วสนุกน่าสนใจมากแต่เก็บไว้ให้คนไปเที่ยวได้ไปฟังเองบ้าง หลังจากนี้เราจะได้ทำในสิ่งที่เรารักกันแล้ว นั่นคือการอาบน้ำแบบฉ่ำๆ น้ำไม่ต้องกลัวหมด ถูสบู่สระผมกันเต็มที่
Day 6 Airakty Valley of Castles > Sherkala > Kokala > Kapamsay > Torysh Valley of Balls

เช้ารุ่งขึ้นได้ตื่นช้าหน่อย 6 โมงเช้า คนอื่นยังไม่ตื่นกันเลยรีบไปอาบน้ำอีกรอบตุนไว้ก่อนเพราะคืนนี้คงไม่ได้อาบอีก
เทือกเขา Akmyshtau และ Airakty Mountain หรือ Valley of Castles
เช้านี้แก๊งทัวร์เราออกสายกว่าเดิมนิดหน่อยจาก 8 โมงครึ่งเป็น 9 โมงกะให้เราได้สัมผัสกับความหรูหราอย่างเต็มที่ ความสุขมันขึ้นอยู่กับความคาดหวังจริงๆ แค่ได้อาบน้ำก็สุขใจมากแล้ว พอกินข้าวกันแล้วที่แรกที่เราไปเที่ยววันนี้คือ Valley of Castles หรือหุบเขาแห่งปราสาท ที่อยู่บนที่ราบต่ำอีกแล้ว สายๆวันนี้ท้องฟ้าเปิดแดดแรงมากแต่ถ้าอยู่ในร่มอากาศก็ยังเย็นสบายอยู่ ทุ่งโล่งนี้มีอูฐเดินเร่ร่อนอยู่เพียบอีกด้วย น้องอูฐที่นี่ดูชีวิตดีมากได้ใช้ชีวิตอิสระทุกวัน
ส่วน Airakty Mountains หรือเค้ามีชื่อเล่นว่า Valley of Castles ที่ให้ไว้โดยนักกวีชาวยูเครนที่มาเที่ยวที่นี่ในปี 1851 แล้วได้วาดภาพที่นี่ไว้พร้อมให้ชื่อเดียวกันนี้ไว้ ที่นี่ก็ได้ชื่อว่า Valley of Castles ตั้งแต่นั้นมา
ไกด์มอรี่บอกว่า (จริงๆจอนนี่บอกแต่จอนนี่ฝากไกด์แปล) ทุ่งหญ้าหน้าเขานี้ถ้าช่วงวันหยุดคนคาซัคจะมากางเต้นท์กันจนไม่เหลือที่ว่างเลย แต่วันนี้เรามาไม่มีใครอื่นเลย เงียบสนิทได้ยินแต่เสียงลมหวีดหวิว
ไกด์นำเที่ยวที่นี่เค้ายังไม่รู้จักหาชื่อให้หินต่างๆตามรูปร่างนะครับ แต่เราคนไทยเจอเรื่องพวกนี้บ่อย หินตาหินยาย เกาะนมสาวนู่นนี่ เราเห็นหินนี้ก็คุยกันเอออันนี้เป็นหน้าคนด้วย ไกด์ก็มายืน "เออใช่ๆเหมือนจริงๆ" กับเราซะงั้น

รถพาเราไปหลายๆจุดในหุบเขานี้และจุดนี้ต้องเดินขึ้นเขาชันพอสมควรเพื่อไปดูวิวมุมสูง ทั่วทั้งทุ่งหญ้าและภูเขาจะเห็นต้น sage ขึ้นอยู่ทั่วไปพอเด็ดขึ้นมามีกลิ่นหอมเหมือนร้านสปา มอรี่เล่าว่าต้นนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของชาวคาซัคไว้เตือนใจถึงทุ่งหญ้าสเตปป์ที่บ้านเกิด กลิ่นหอมมาก แล้วเจอน้องเต่าทองสีแดงสดมาไต่ขากางเกงด้วย ฉันนั้นเปรียบดังเจ้าหญิงดิสนีย์
ขึ้นมาถึงยอดแล้วมองออกไปมันช่างกว้างใหญ่เวิ้งว้าง มียอดเขาเหมือนหมวกพ่อมดอยู่ไกลๆ จริงๆตรงนั้นก็เดินขึ้นไปถึงโคนมาแล้ว บนสันเขาไม่สูงมากนี้สามารถเดินถึงกันได้หมด ทางลงไม่ชันมากเป็นทรายร่วนๆให้เอาขาสไลด์ลงได้
ภรรยาปกติไม่เดินตามไปด้วยเลยได้รูปแบบไกลๆแบบนี้บ่อยๆ 555

ออกมามองไกลๆอีกทีแล้วก็ประหลาดใจที่เสาหินนี้มันเว้นระยะเท่ากันพอดีราวกับว่าธรรมชาติก็มีแพทเทิร์นของมันไม่ใช่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างไร้แบบแผน

Sherkala Mountain
ขับรถออกมาจาก Valley of Castles ไม่ไกลก็มาถึงเขา Sherkala เขาลูกใหญ่ที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเล่าตำนานมากมาย เรื่องที่เกิดขึ้นจริงคือเคยมีชาวคาซัคพยายามจะปีนผาฝั่งขวาขึ้นไปด้านบนแต่ประสบอุบัติเหตุตกลงมาเสียชีวิต ทำให้ลูกชายของเค้ากลับมาปีนผาเดียวกันนี้แล้วขึ้นไปปักธงคาซัคสถานสำเร็จแทนพ่อตัวเองทำให้บนยอดยังมีธงปักอยู่จนวันนี้ เรื่องนี้ฟังจากไกด์แต่พอมาเสิร์ชหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็ไม่เจอข่าวนี้ อาจจะพึ่งเกิดไม่นานเพราะรูปเก่าๆก็ไม่มีธงอยู่
ด้านข้างของเขามีการขุดถ้ำเอาไว้โดยคนสมัยก่อนมากมาย ที่เขานี้ในอดีตเคยเป็นสนามรบของชนเผ่าคาซัคและเผ่าเติร์กเมน โดยฝ่ายตั้งรับจะใช้ที่บนเขานี้ตั้งรับข้าศึก
ตำนาน (Source: Trust me bro) เล่าว่าในอดีตเคยมีเผ่า Turkmen ขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนยอดนานกว่า 6 เดือนทำให้นักรบคาซัคสงสัยว่าพวกนี้รอดโดยไม่มีน้ำอาหารได้อย่างไร จนไปเจอว่าชาวเติร์กเมนขุดรูลงไปเอาน้ำใต้ดินเพื่อเอาตัวรอด ชาวคาซัคเลยต้องขุดรูด้านข้างเพื่อเข้าไปอุดรูบ่อน้ำให้คนข้างบนอดตาย แฮร่! เชื่อก็บ้าแล้ว แต่ว่ารูที่ว่าคือในรูปด้านล่างเลย เข้าไปมีรูอยู่จริงนะแต่ไม่รู้เค้าขุดไว้ทำไม คนสมัยนี้เลยแต่งเรื่องมาประกอบฉาก
Kokala Mountain
วันนี้แดดร้อนแสบจริงๆเลย ถึงเวลากินข้าวทัวร์เราก็มาจอดให้กินกันหน้าที่เที่ยวแบบนี้เลย แบบว่าไม่มีใครมาเที่ยวจะจอดระเกะระกะตรงไหนก็ได้ ตอนแรกทุกคนก็แบบอิดออดไม่ยอมเดินออกไปกลางแดดจนเค้าต้องมากางร่มให้แบบนี้ อย่างเท่เลย
หลังจากกินข้าวกินชากันแล้วเราก็เริ่มทัวร์หุบเขาโคลน Kokala กัน ไกด์บรรยายว่าภูเขาหน้าตาพิลึกเหล่านี้เกิดจากที่ตรงนี้มีรอยแยกของแผ่นโลกและในอดีตตอนที่ตรงนี้เป็นใต้ทะเล พอเกิดภูเขาไฟระเบิดใต้ทะเลทำให้ติดแร่ธาตุต่างๆระเบิดตู้มเป็นโกโกครั้นช์ออกมา แต่เพราะเค้าอยู่ใต้ทะเลเลยทำให้ทุกๆอย่างถูกแช่แข็งเอาไว้ทันที พอดีหนึ่งในชาวคณะเค้าชอบดำน้ำเค้าบอกว่าหินแบบนี้เหมือนที่เค้าดำไปดูปะการังใต้น้ำเลย แต่ตรงนี้อยู่บนบกและแห้งสนิท ธรรมชาติช่างลึกลับซ่อนเงื่อนเหลือเกิน
ถ้ามองดูจากบนเขาแล้วก็เห็นได้เลยว่าตรงนี้เหมือนกับโคลนเดือดปุดๆที่ถูกกดพอสหยุดเวลาให้อยู่กับที่
จะเห็นอีกอย่างคือภูเขารอบๆตรงนี้ก็เป็นภูเขาหญ้าสีเขียวทั่วไป เหมือนกับว่าตรงนี้มีภูเขาไฟระเบิดอยู่ที่เดียว มองไกลๆก้อนหินสีเหลืองมีหมวกสีน้ำตาลดูแล้วเหมือนพุดดิ้งคาราเมลราดด้านบน เลยบอกไกด์ว่าเธอช่วยเอาชื่อเขาพุดดิ้งนี้ไปเผยแพร่หน่อย อยากให้ชื่อนี้แมส แต่ที่เที่ยวยังไม่แมสชื่อจะแมสก่อนได้มั้ย
ระหว่างเดินกลับไปที่รถเจอวัวจอดอยู่ตามทางเยอะมาก น้องมีป้ายทะเบียนเหมือนน้องเป็นรถ ว่าแต่เมฆวันนี้ดูเหมือนการ์ตูนมากเลยนะ
Kapamsay Canyon
จริงๆที่ตรงนี้อยู่ในโปรแกรมของพรุ่งนี้ก่อนเข้าเมืองแต่ว่าจอนนี่กับมอรี่บอกว่าพยากรณ์อากาศบอกว่ามีโอกาสที่ฝนจะตกทั้งภูมิภาค 90% คืนนี้จนถึงเช้า แบบว่ามั่นใจมากว่าตก เค้าเลยบอกว่าจะพยายามยัดที่เที่ยววันพรุ่งนี้เข้ามาในโปรแกรมวันนี้ด้วยเราจะได้ไม่พลาดอะไรไป ก็โอเคนะเพราะยังมีเวลาอีกเยอะเลย แต่ปัญหามีแค่ว่าต้องขับรถอ้อมไปมา แต่เราก็ทำตามที่เค้าแนะนำเพราะแถวนี้ไม่ชำนาญจริงๆ
จากตรงนี้เราสามารถมองเห็นทะเลแคสเปี้ยนได้ด้วย ตอนแรกมองไปก็ไม่แน่ใจว่าใช่ป่าวเพราะว่าแถวนี้อะไรๆก็แบนเหมือนทะเล เลยถามคนขับรถเราชื่อนอเบ็ค พี่เค้าเลยทำท่าว่ายน้ำๆ ที่ตรงนี้มีจุดถ่ายรูปเป็นครั้งแรก เลยขอให้ทุกคนถ่ายรูปด้วยกันหน่อย จะเห็นว่าไกด์แต่งตัวเหมือนไปตัดอ้อยมาก กลัวแดดที่สุดแล้ว
ถ่ายรูปละเราก็เอารถลงไปด้านล่างกัน ที่ตรงนี้ในอดีตนั้นมีแม่น้ำไหลผ่านแต่ปัจจุบันแห้งเหือดไปหมดแล้วทิ้งไว้แต่ร่องหินที่น้ำเคยผ่าน ที่แถวนี้มีมัสยิดใต้ดินจำนวนมาก นับร้อยเลยทีเดียว นักบุญชาวอิสลามในอดีตได้มาขุดไว้หลบแดดหลบฝน และยังมีคนมาอาศัยอยู่จนปัจจุบัน ลองเข้าไปดูในถ้ำหนึ่งที่ขับรถผ่านที่ดูแล้วเหมือนเราอยู่ดีๆเดินดุ่มๆเข้าบ้านใครก็ไม่รู้ มีของใช้สมัยใหม่อยู่ด้วย
ลึกเข้าไปในหุบเขาจะมีถ้ำธรรมชาติอยู่และด้วยความที่ถ้ำหินนี้บังแดดให้ดินข้างล่างทำให้ต้นไม้ขึ้นได้ดีมีความชุ่มชื้นกว่าที่โล่งอื่นๆ เช่นตรงนี้มีต้นไม้ขึ้นอยู่ด้วยและนี่คือต้นหม่อนหรือ mulberry ดูแล้วเขียวชะอุ่มกว่าที่อื่นเลย พอพูดว่าที่บ้านเราก็มีต้นหม่อนมอรี่เล่าว่าที่บ้านก็มี แล้วเคยมีอูฐใครไม่รู้มากินเลยต้องแจ้งตำรวจให้เจ้าของมารับผิดชอบ 555 ว่าแต่ในถ้ำพวกนี้ยุงเยอะและกัดดุมาก
ที่เที่ยวตรงนี้น้อยมากดูไม่ค่อยคุ้มในการอ้อมมาเท่าไหร่เลยแต่ก็ไม่เป็นไร เพราะระหว่างนั่งรถใน Mangystau ได้เห็นทุ่งหญ้าแบนราบกว้างสุดสายตาแบบนี้มันทำให้รู้สึกสบายใจ โทรศัพท์ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่ต้องตามการเมือง ไม่ต้องดูอีเมล์ที่ทำงานแบบมีข้ออ้างอย่างดี ทุ่งหญ้าสเตปป์เป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกแปลกมากๆเพราะมีไม่มากที่เราจะมองออกไปแล้วไม่เห็นอะไรโผล่พ้นเส้นขอบฟ้ามาเลย แค่หญ้าและท้องฟ้า บางทีนึกถึงการ์ตูนจิบลิเหมือนกัน
Torysh - Valley of Balls
พอคิดดูแล้วว่านี่คือคืนสุดท้ายแล้วก็รู้สึกดีใจที่จะได้กลับไปนอนดีๆอาบน้ำดีๆ แต่อีกใจก็รู้สึกเสียดายที่ต้องกลับไปใช้ชีวิตตามปกติในอีกไม่นาน คงคิดถึงความว่างเปล่านี้ประมาณนึง หรือจริงๆแค่ขี้เกียจกลับไปทำงานก็อาจจะเป็นไปได้มากกว่า
ขับรถย้อนกลับมาทางตะวันตกและรถเริ่มเลี้ยวออกทางลูกรังก็รู้ว่าใกล้ถึงละ ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้โชว์รูปความโหดของทางออฟโร้ดที่นี่ ถนนแบบรูปข้างล่างคือส่วนใหญ่ของทางออฟโร้ดเลย
ที่ Valley of Balls ก็คือตามชื่อเลยแถวนี้มีหินก้อนกลมๆเรียงรายเป็นแถบทั้งภูเขาเป็นทางยาวกว่า 3 กิโลเมตร แล้วคือไม่ใช่ลูกบอลแบบเล็กๆแต่ส่วนใหญ่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 เมตร ทางบางจุดก็แคบมากจนกระจกข้างแทบขูดกับหิน บางที่ก็มีหินโผล่จากถนนจนใต้ท้องรถครูดไปกับหิน
พอลงมาถึงแล้วเราเลยบอกทุกคนขอถ่ายรูปเก็บไว้หน่อยเพราะนี่คือครั้งสุดท้ายที่ทุกคนจะอยู่พร้อมกัน ถือโอกาสเอาเงินค่าทิปให้เค้าและกล่าวขอบคุณที่ช่วยดูแลให้เราไม่ตายในหลายวันที่ผ่านมา ถ้าไม่มีคนพวกนี้เราน่าจะตายจริงๆนะ

แล้วคืนนี้เราจะนอนตรงนี้ด้วย เป็นคืนสุดท้ายที่น่าจดจำมากๆ แล้วจอนนี่มาบรีฟว่าคืนนี้อาจจะฝนตกหนัก ถ้าหนักมากถนนที่เข้ามาจะเป็นโคลนแล้วเราจะออกไปไม่ได้ เพราะงั้นอาจจะต้องรีบอพยพถ้าฝนตกหนักเกินไป ให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม พอได้ยินแล้วชาวคณะเราที่เคยเจอภัยพิบัติที่ไอซ์แลนด์ด้วยกันก็เกิดอาการหวาดระแวงว่าจะเจออีกแล้วหรอ

ระหว่างเค้าเตรียมอาหารให้เราก็ได้เดินถ่ายรูปยามเย็นแบบเมฆครึ้ม มองดูแล้วมันอดที่จะพูดว่า "นี่มันอะไรวะเนี่ย" ทุกๆ 5 นาทีไม่ได้ ทำไมอยู่ดีๆที่ตรงนี้ก็มีหินกลมดิ้กก้อนมหึมาอยู่เป็นพันลูก คาซัคสถานเค้าอยากทำอะไรเค้าก็ทำเนอะ
เอาสาระนิดหน่อย ตามการรายงานของไกด์เราก็คือหินเหล่านี้ก่อตัวขึ้นจากใต้ดินด้วยแร่ธาตุและน้ำทะเล ซากสัตว์พืชต่างๆไหลรวมกันและแข็งตัวเป็นหินและพอกใหญ่ขึ้นเรื่อยๆตามกาลเวลาหลายล้านปี จนเวลาผ่านไปทั้งลมและน้ำชะล้างดินออกไปจนหินเหล่านี้ได้โผล่พ้นดินออกมาจนมีสภาพแบบวันนี้ ไกด์เล่าให้ฟังด้วยว่าคนเฒ่าคนแก่เล่าว่าในอดีตชาวคาซัครบกับชาวต่างชาติ แต่ข้าศึกโดนพระเจ้าเสกให้กลายเป็นหินหมด หรือบางคนก็บอกว่าพวกนี้คืออุกาบาต แต่อันนั้นคงไม่ใช่เพราะถ้าเป็นอุกาบาตมันต้องมีแอ่งกระทะที่หินตกกระแทกพื้น เอาเป็นว่ายังไม่มีการศึกษาอย่างเต็มที่กับปรากฎการณ์นี้จนยืนยันได้ว่าสิ่งนี้เกิดได้อย่างไร
มอรี่เดินมาบอกว่าเราควรเดินไปดูวิวข้างหน้าตอนนี้ก่อนฟ้ามืดเพราะตอนเช้าฝนอาจจะตกแล้วไปเที่ยวไม่ได้ ตอนดูตรงที่จอดรถก็ว่ามีหินเพียบแล้วแต่เดินลงเขามาต้องงงเข้าไปอีกเพราะว่าตรงนี้มีเยอะกว่ามาก วางกันแน่น มีทั้งสมบูรณ์เป็นลูกมีทั้งแตกผ่าครึ่งแตกเป็นกลีบๆ เราก็เดินช้าตามไกด์ไม่ทัน ไกด์ก็เดินไม่หยุดเหมือนมีจุดหมายอะไร จนสุดท้ายวิ่งไปถามว่าต้องเดินไปถึงไหนหรอ ไกด์เลยบอกยังไม่เคยเดินไปจนสุดทางเลยเหมือนกับว่าอยากเดินให้ถึงวันนี้ เลยบอกไปว่าเอ่อเราพอแล้วก็ได้นะเพราะฉันเดินช้า
ตลกมากด้วยเพราะมอรี่เล่าอีกว่าคนคาซัคมีมาขโมยหินกลมๆพวกนี้กันด้วย แบบเอารถมายกไปตั้งไว้ที่บ้านที่ตึกตัวเองเลย เดินๆอยู่ได้เจอร่องรอยของหินที่เคยอยู่ตรงนั้นด้วย แน่นอนว่าสิ่งนั้นผิดกฎหมาย
เพราะเราคือคนไทย เดินไปไหนก็เห็นรูปร่างนู่นนี่ มีหน้ายิ้ม มีหินโมฮ็อค แล้วสุดท้ายมีหินรูปยานอวกาศของชาวไซย่าที่เบจิต้าขี่มากระทืบโกคู จะเห็นว่าเปิดประตูออกแล้วด้วยนะ
Day 7 ทัวร์จบลง กลับเมือง Aktau
คืนก่อนทุกคนกระวนกระวายมากต้องเตรียมตัวให้พร้อมออกทุกเมือง ไม่เอากระเป๋าลงรถ ใส่ชุดพรุ่งนี้ (จริงๆใส่ชุดพรุ่งนี้มาทุกวันอยู่แล้วแหละ) รถก็มาจอดข้างเต้นท์เผื่อต้องเข้าก็พุ่งเลย สุดท้ายตอนนอนอยู่ฝนก็ตกลงมาจริง ตอนอยู่ในเต้นท์เสียงฝนดังมากแต่พอเปิดเต้นท์ดูทำไมตกเปาะแปะ ไม่เห็นใครออกมาเรียกก็เลยนอนต่อเลย เอาจริงๆฝนตกตอนกางเต้นท์นี่นอนหลับสบายที่สุดแล้ว ตื่นอีกทีก็หกโมง เริ่มเก็บแคมป์และรอรถทั้ง 3 คันพร้อมออกไปพร้อมกัน ทุกคนเปียกกันมากตอนกลับขึ้นรถ

ทางที่ว่าเป็นโคลนนั้นก็เป็นจริงแล้วรถไถลเยอะมาก บางที่คิดว่าจะต้องลงไปเข็นแล้วแต่ว่าคนขับทั้งสามคนเก่งมากไม่มีปัญหาเลย ยิ่งรถลากอุปกรณ์นี่โหดที่สุดเพราะรถเฉยๆก็ไถลแล้วยังต้องลากครัวมาด้วย
สุดท้ายก็ออกมาจากโคลนได้อย่างปลอดภัยโดยที่จอนนี่ต้องจอดคอยเช็คคันข้างหลังอยู่เรื่อยๆ ทุกคนพาเรากลับเข้าเมืองโดยปลอดภัยไปเอากระเป๋าที่ออฟฟิศ ที่ออฟฟิศวันนี้มีพนักงานเพียบเลย เปิดเข้าไปทุกคนสวัสดีเป็นภาษาไทยกันใหญ่ เลยถือโอกาสชื่นชมทีมงานให้เจ้าของบริษัทฟังเป็นการใหญ่ คนทำงานดีต้องได้รับคำชมเป็นกำลังใจให้ทำดีต่อไปอีก
พอดีเราเข้าเมืองเร็วและยังเช็คอินโรงแรมที่จองไว้สำหรับพักก่อนขึ้นเครื่องคืนนี้ไม่ได้ เค้าเลยบอกว่าไม่เป็นไรมันยังไม่หมดเวลาทัวร์ เราจะพาพวกคุณไปเที่ยวห้างหรือที่ไหนก็ได้ 555 คือมันเคอะเขินมาก สุดท้ายเลยไปกินข้าวแล้วให้พาไปซื้อของชำร่วยของที่นี่แล้วบอกว่าไม่ต้องคิดมากเอาเราไปทิ้งที่โรงแรมก็ได้เผื่อเค้าให้เช็คอินเร็วเพราะว่ายังไงก็เจ้าของเดียวกัน พวกเธอจะได้กลับไปพักผ่อนหลังจากเหนื่อยมาหลายวัน จะได้ไปพักผ่อน 10 วันก่อนจ็อบถัดไป ทุกคนก็มาช่วยเราคุยกับโรงแรมพร้อมนัดแนะรถที่จะมารับเราไปส่งที่สนามบิน แล้วก็ร่ำลากัน อยู่ด้วยกันมาห้าวันรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนกันแล้ว ขอให้ทุกคนโชคดีสุขภาพแข็งแรง
Aktau
ส่วนเราได้เข้าห้องแล้วสิ่งแรกคืออาบน้ำอีกแล้ว โหโรงแรมเค้าดีมาก อาบน้ำแล้วฟินสุดๆ จัดกระเป๋ากลับแบบเดิมก่อนไปทัวร์ พักผ่อนนิดหน่อยแล้วออกไปเดินเล่นในเมือง อยากรู้ว่าเค้าอยู่กันแบบไหน แน่นอนตึกรามบ้านช่องนั้นเป็นแบบโซเวียตเพราะเมืองนี้ถูกพัฒนาโดยสหภาพโซเวียต แต่เหมือนเค้าก็พยายามจะใส่สีสันเข้าไปด้วย mural ภาพวาดฝาผนังเข้าไปบนตึกเทาๆเศร้าๆ แต่ถ้าไม่นับตึกที่ดูทึมๆแล้วผู้คนเค้าก็ใช้ชีวิตมีสีสันกันดี เด็กๆวิ่งเล่นที่สวน คนหนุ่มสาวเดินเล่นตามถนน แต่ที่สำคัญคือทางเท้าเค้าครอบคลุมทุกพื้นที่มาก ทั้งถนนใหญ่และซอยเล็ก
เป้าหมายเย็นนี้คือไปกินข้าวริมทะเลแคสเปี้ยน ระหว่างทางผ่านสวนที่มีอนุสรณ์สงครามโลกครั้งที่สองที่มี Eternal Flame อยู่ใจกลาง สถาปัตยกรรมก็เป็นแบบโซเวียตเช่นเคย
ตรงริมทะเลมีร้านอาหารคาเฟ่อยู่พอสมควร และร้านนี้แนะนำโดยมอรี่ไกด์เราเองหลังจากที่เห็นเราสนใจฟอสซิลตามพื้น เพราะร้านนี้มีพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมแล้วมีฟันฉลาม megalodon แบบในหนัง The Meg และ Meg 2 ที่ Jason Statham เล่นด้วย แต่ฉลามนี้เคยมีอยู่จริงในโลกดึกดำบรรพ์และสามารถตัวใหญ่ได้เกือบเท่าสนามบาสเก็ตบอลเลย ถึงตัวใหญ่มากแต่หนึ่งในหลายสาเหตุที่เค้าสูญพันธ์ไปเพราะในเวลานั้นอุณหภูมิโลกลดลงมากและ megalodon ชอบอากาศเขตร้อนมากกว่า ถ้ายังมีอยู่ก็คงสยองไม่น้อย
ใกล้ๆกันคือริมทะเล วันนี้หลังจากฝนตกแล้วฟ้าสวยมาก ทะเลเค้าน้ำใสมากแต่ไม่ค่อยมีหาดทราย เมฆวันนี้ยังหน้าตาเหมือน Star Destroyer เพลงธีม Star Wars ดังเลย
ระหว่างนั่งกินข้าวร้านริมทะเลก็มองพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปด้วย ถือว่าปิดจ็อบได้อย่างสวยงามและไม่มีภัยพิบัติให้ได้ตื่นตระหนก
*ถ้าอยากรู้ไปไอซ์แลนด์เจอภัยพิบัติอะไรดูที่ลิงค์นี้ได้เลย https://www.nopeopletravelphoto.com/post/iceland_2023
Day 8 กลับถึงเมือง Almaty วันสุดท้ายก่อนกลับบ้าน
คืนก่อนกลับโรงแรมแล้วแอบนอนนิดหน่อยก่อนเวลาเครื่องออกตอนตีหนึ่ง แล้วเช้าวันใหม่เครื่องลงที่ Almaty ตอนตีสี่ครึ่ง มีเวลาในเมืองจนถึงเวลาไฟลท์ตอนตีสามครึ่งของอีกวัน เช้านี้สวยงามมากถ้าไม่นับว่าโคตรเหนื่อยกับเวลาไฟล์ทที่พิลึกกึกกือ
เครื่องลงแล้วเรียกแท็กซี่ (แนะนำใช้แอ๊พจะได้ไม่ต้องต่อราคากับแท็กซี่สนามบิน) เพื่อไปโรงแรม อาบน้ำแล้วนอนนิดหน่อย พอตื่นแล้วออกไปเดินดูเมืองกัน อุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่ควรจะไปเห็นซักหน่อย ระหว่างนั่งรถแท็กซี่มาโรงแรมคนขับก็ชวนคุยไม่หยุด เค้าก็พูดไม่ค่อยได้แต่ดูเค้าอยากนำเสนอเมืองเค้ามาก เปิดคลิปให้ดูด้วยว่ามีที่เที่ยวอะไรบ้าง คือจะบอกว่าไปมาแล้วก็น่าจะสื่อสารกันไม่ได้ พอเราเปิด Google Translate ให้ดูว่าพึ่งไป Mangystau มาเค้าดูเคืองแล้วบอกว่า "Mangystau has nothing. No good" 555 อะไรกันเนี่ย นี่หรือคือคนเมืองเหยียดคนบ้านนอก แล้วบรรยากาศก็มาคุนิดหน่อย ตายแล้ว
อ้อจะบอกว่าโรงแรมที่อยู่ดีมากเลย ห้องสวยงามเตียงดีราคาไม่แพง Resident Hotel Kazybek Bi
เริ่มด้วยการลองเดินไปที่ Arbat G. Almaty ที่น่าสนใจที่สุดของเมืองนี้คืออาคารแบบ brutalist ในสมัยโซเวียต คือมีเยอะมาก
เดินไปซักพักวกกลับเพื่อไปที่ Ascension Cathedral โบสถ์แลนด์มาร์คชื่อดังของ Almaty สีสันสวยงาม โบสถ์เค้าก็ตั้งอยู่กลางสวนร่มรื่นนะ แต่วันนี้อากาศร้อนนรกมากทำเอาเพลียสุดๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะบ่นร้อนทั้งๆที่พึ่งกลับมาจากทะเลทราย
ด้วยความร้อนมากเลยตัดสินในไปนั่งหลบแดดในห้างบ้างในพิพิธภัณฑ์บ้างจนแดดร่มๆถึงออกไปที่ Abai Square ตรงนี้อยู่ใกล้ๆกับสถานีเคเบิลคาร์ขึ้นดอย Kok Tobe เป็นอีกแลนด์มาร์คชื่อดัง ค่าขึ้นคนละ 4,000 Tenge หรือประมาณ 250 บาท ไปกลับ
คนเยอะมากเลยนะแล้วตอนกำลังขึ้นมีคุณป้าชาวรัสเซียที่เกิดและโตที่คาซัคสถานมาช่วยจัดคิวให้เราไปพร้อมกับกรุ๊ปทัวร์เค้าด้วย ใจดีฝุดๆ ระหว่างนั่งกระเช้าคุยกันนู่นนี่ เค้าอยากไปเมืองไทยบ้างอะไรบ้าง สุดท้ายเลยลองอีกที บอกเค้าว่าพึ่งไป Mangystau มาชอบมาก หน้าเปลี่ยนเลย แล้วบอกว่ามันมีอะไรด้วยหรอ 555 เออสงสัยเค้ามีอะไรกันจริงๆ
ขึ้นมาถึงแล้วเอาจริงๆก็ไม่ได้เห็นวิวภูเขาเท่าไหร่เพราะต้นไม้ตึกอะไรบังหมด ส่วนที่เห็นคือวิวฝั่งเมือง ส่วนกิจกรรมด้านบนก็มีร้านอาหาร มีสวนสนุกที่โบราณๆหน่อยเหมือนอารมณ์งานวัดมากกว่า ที่เห็นคนรอเล่นเยอะมากคือ Fast Coaster หรือรถรางไหลลงเขาแบบนั่งคนเดียวที่น่าจะได้เคยเห็นในประเทศอื่นๆ แต่เราซื้อตั๋วไปกลับมาแล้วไม่ได้เล่นเลย
และที่นี่ก็เป็นจุดสุดท้ายของทริปนี้ที่คาซัคสถาน เป็นประสบการณ์ท่องเที่ยวที่เติมเต็มมากๆ การที่ไม่มีอินเตอร์เน็ตใช้รู้สึกตัวเองใจเย็นลงไปเยอะ แต่แน่นอนเมื่อกลับถึงบ้านเราก็กลับมาเป็นคนเดิมในเวลาไม่นานเพราะชีวิตมันรุมเร้าแต่ทริปนี้ก็ยังคอยเตือนใจให้วางโทรศัพท์ลงบ้างแล้วอยู่ด้วยการไม่มี distraction ตลอดเวลา
โพสนี้ตั้งใจเขียนมากเพราะชอบมันมากๆถึงแม้ว่าคงไม่ได้กลับไปอีกแต่ก็จะจำทริปนี้ชัดเจนและเล่าเรื่องนี้ให้คนรู้จักฟังไปอีกนานแน่นอนเลย
รอบนี้เล่ายาวๆแบบรอบเดียวจบไปเลยหวังว่าเพื่อนๆนักอ่านจะชอบกัน ยังไงอย่าลืมติดตามเพจผมด้วย หรือกด subscribe เว็บนี้ไว้จะได้มีการแจ้งเตือนสำหรับประสบการณ์การเดินทางครั้งต่อไปด้วยนะครับ ปีนี้ยังมีมาเล่าอีกแน่นอน ขอบคุณมากๆเลยน้า
Comments