
เดือนที่เดินทาง - กรกฎาคม 2022
ตอนนี้ขอรวมไว้เลย 4 ที่เที่ยวใกล้ๆมิลานโดยเราจะขับรถไปเรื่อยๆจนไปสุดที่เวนิซ มาถึงจุดนี้วางแผนเที่ยวยากมากเพราะที่ไหนๆก็สวย สุดท้ายตัดใจเลือกไปตามนี้เลยครับ
มิลาน 1 คืน
ทะเลสาบโคโม 1 คืน
ทะเลสาบการ์ดา 1 คืน
เทือกเขาโดโลไมท์ 4 คืน (ขอยกไปตอนหน้าให้ดูกันเต็มๆ)
เวนิซ 2 คืน
Day 7 - มิลาน (Milan)
Milan อยู่ไม่ไกลจาก La Spezia เท่าไหร่ขับรถแค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง เห็นเจ้าถิ่นขับเร็วต้องคอยเตือนตัวเองว่าเราไม่รีบนะ ที่มิลานนี้ผมก็ถือว่าเป็นเมืองทางผ่านเฉยๆสำหรับไปต่อที่อื่น มาถึงก็เช็คอินก่อนโรงแรม NYX MILAN ราคาพอรับไหวห้องดีเตียงนอนหลับสบาย โลเคชั่นก็อยู่หน้าสถานีรถไฟ Milano Centrale ไปเที่ยวในเมืองสะดวกมาก
อยู่นี่คืนเดียวผมว่าพอแล้วครับเพราะที่เที่ยวดูเหมือนมีแค่แถว Piazza Duomo ถ้าต้องการจะเข้าไปในโบสถ์ Duomo เฉยๆไม่มีค่าเข้านะครับแต่กิจกรรมที่ควรทำคือขึ้นไปเดินบนหลังคาโบสถ์ที่มียอดแหลมๆเป็นรูปปั้นอยู่มากถึง 3,400 ตัวด้วยกัน แนะนำจองตั๋วไปล่วงหน้าเหมือนเดิมโดยตั๋วมีทั้งแบบเดินขึ้น 250 ขั้นกับขึ้นลิฟท์ เลือกตามสังขารได้เลยจ้า
เว็บซื้อตั๋ว: https://ticket.duomomilano.it/en/
ก่อนอื่นไปเที่ยวด้านในกันก่อน ด้านในมีกระจกสีเยอะแยะสวยดีครับ เวลาแดดส่องเข้ามามันจะมีสีสาดลงมาที่เสากำแพงด้วย
พอดูข้างในแล้วให้กลับออกมาทางเดิมแล้วเดินไปด้านหลังโบสถ์ทางซ้ายจะมีทางเข้าสำหรับขึ้นไปหลังคาแบบเดิน แบบลิฟท์ให้เดินต่อไปอีกหน่อยจนถึงก๊อกน้ำสาธารณะ ถึงแล้วก็จะเห็นเสามากมายซ้อนๆกันแบบนี้เลย
เดินไปบนยอดสุดจะอยู่กลางหลังคาเลย ที่ยุโรปนี่ดีครับ เก็บเงินค่าขึ้นไม่ต้องกังวลว่าคนจะมาเดินค้ำหัวพระเจ้า ได้เงินไปบำรุงบูรณะสถานที่ เค้าบอกว่ายอดเสาต่างๆนี่มันเปราะบางมากจนต้องซ่อมกันตลอดเวลาจนให้คนทั่วไปมีโอกาสให้เป็นเจ้าของยอดเสาด้วยการบริจาคเงิน คล้ายๆทำบุญกระเบื้องหลังคาโบสถ์บ้านเราเลยเนอะ
ขาลงจากหลังคาจะต้องผ่านด้านในโบสถ์อีกทีเดินผ่านรูปสลักของ St. Bartholomew หน้าตาน่ากลัวนี้ด้วย รูปสลักนี้คือตอนที่นักบุญสาวกพระเยซูคนนี้ถูกจับถลกหนังทั้งเป็นตามตำนาน ชีวิตมันโหดร้าย
หลังจากออกมาจากโบสถ์แนะนำให้เดินต่อไปที่ร้านเจลาโต้ Vanilla Gelati Italiani ร้านนี้หร่อยมากจนกลับมาเบิ้ล 2 รอบ เขินเลย ด้านข้างโบสถ์เป็น Galleria Vittorio Emanuele II ห้างที่เก่าที่สุดของอิตาลีแล้วสวยโคตร
ปิดลงที่ภาพถ่ายตอนเย็นที่เดิม Piazza Duomo คนเยอะมากเลยต้องใช้ long exposure เบลอคนจะได้ไม่ยุ่งเหยิงมาก
ท้องฟ้าเหมือนพึ่ง 1 ทุ่มแต่ว่ามัน 4 ทุ่มแล้ว กลับไปนอนอย่างไวเพราะวันรุ่งขึ้นจะวาร์ปไปโผล่ Lake Como กัน ตื่นเต้นแล้ว
Day 8 - ทะเลสาบโคโม (Lake Como)
สวัสดี Lake Como คงเป็นสถานที่ที่ใครๆก็ต้องคิดถึงถ้ามาอิตาลีเหนือ ขับรถจากมิลานแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น สำหรับคนขับรถอาจจะต้องชำนาญนิดนึงเพราะว่าเป็นทางบนเขาเยอะมากช่วงใกล้ๆถึงทะเลสาบและบางช่วงโคตรแคบ โชคดีขานี้เราไม่ได้ขับเพราะเป็นหน้าที่ของภรรยา วิวข้างทางสวยมากจริงๆเหมือนได้มาดาวนาบู ติ่งสตาร์วอร์สต้องมาให้ได้
โดยคืนนี้เราจะพักที่เมือง Lenno ที่อยู่ตรงข้ามฝั่งน้ำกับเมือง Bellagio ที่เป็นเมืองที่คนไปเที่ยวเยอะสุดละ พอเอาของเข้าที่พักเอารถจอดแล้วก็เดินไปที่ท่าเรือ Lenno เป็นบริการเรือสาธารณะไปตามเมืองต่างๆรอบๆทะเลสาบ ตอนแรกก็ขับรถมาอยู่นะครับแต่หาที่จอดไม่ได้เลยต้องขับรถกลับไปเก็บที่ที่พักแล้วเดินกลับมา วันนี้อากาศร้อนมากเพราะว่ามี heatwave พอดี ปาเข้าไป 36 องศาเซลเซียส
น้ำสวยมากเลยขนาดอยู่ติดกับท่าเรือ เห็นน้ำแล้วอยากโดดลงไปให้มันหายร้อน น้ำในทะเลสาบเย็นมากครับเพราะเป็นน้ำจากภูเขาเกิดจากหิมะที่ละลายไหลมารวมกันเป็นทะเลสาบ
เวลาเดินเรือแนะนำให้ศึกษาให้ดีๆเพราะมันสับสนง่าย ตารางสามารถหาดูได้ที่ท่าเรือเลยครับเพราะว่าตารางบนเว็บบอกไม่ละเอียดเอาซะเลย ระหว่างทางก็จะผ่านเมืองต่างๆสวยๆแบบนี้
และอันนี้เองคือ Bellagio เมืองนี้ตั้งอยู่ปลายแหลมกลางทะเลสาบทำให้เห็นได้รอบด้านไปเลย ส่วนในเมืองก็เล็กอาคารบ้านเรือนน่ารักดีสีสันสวยงาม
เกิดมาก็พึ่งเคยเจอ heatwave ตัวเป็นๆก็วันนี้ทำให้ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงโลกของเราเข้าไปอีกว่าอีกไม่นานคนเราคงออกมาเดินข้างนอกตอนกลางวันไม่ได้แล้วแน่ๆเลยนะ
พอเดินในเมืองแล้ว พักเหนื่อยแล้วเลยมาเดินเล่นต่อแถวท่าเรือ ตรงท่าเรือนี้มองเห็นเมือง Bellagio สวยมากเลย น้ำใสสีสวย
เดินเลยท่าเรือมานิดก็จะมีต้นไม้เรียงเป็นแนวยาวออกดอกสีชมพูเป็นพุ่มเต็มต้นเลย หน้าร้อนมันก็จะสีสดใสประมาณนี้
ที่มาเดินเล่นตรงนี้ก็เพราะจะมารอขึ้นเรือไปต่อเมือง Varenna อีกเมืองที่ศึกษามาว่าสวยมากพอใกล้ถึงเวลาเรือออกก็เดินกลับไปท่าเรือ ปรากฎว่าไม่ได้ดูเวลาเรือให้ดีก่อนคือเรือมันมีขาไปแต่กว่าจะไปถึงไม่มีเรือกลับแล้วจ้า คือบริการรถเรือสาธารณะที่อิตาลีนี่เค้าหวานเย็นพอสมควรปิดเร็วมาก อันนี้พลาดเองไม่ได้ดูให้ดีเลยแห้วอดไป
ยืนทำใจอยู่สองนาทีแล้วยอมรับว่าหมดหนทางเลยตัดสินใจนั่งเรือกลับ Lenno แล้วไปโดดน้ำเล่นก่อนนอนละกัน น้ำเย็นสะใจมากหลังจากร้อนมาทั้งวัน
Day 9

มาเที่ยวทีไรนี่ตื่นเช้าตลอดไม่เหมือนวันทำงาน พอดีที่พักมีระเบียงมองออกไปทางทะเลสาบด้วยเลยโผล่หน้าออกมาดูฟ้าเริ่มสว่างแล้ว มองออกไปจะเห็น Villa del Balbianello ที่เราจะไปกันวันนี้เป็นความตั้งใจที่จะไปให้ได้เพราะความเป็นติ่งสตาร์วอร์ส

Villa del Balbianello อยู่ที่เมือง Lenno เหมือนกันแนะนำให้ไปเช้าหน่อย เค้าเปิดให้เข้าชม 10 โมงเช้าเราไปถึงกันประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนแล้วเอารถไปจอดตรงนิ [LINK] ถ้าใครต้องการเดินไปทางเดินเข้าอยู่ตรงที่จอดเลยแต่ถ้าอยากจะแบบซึมซับบรรยากาศเหมือนพัดเม่กับอนาคินก็สามารถไปทางเรือได้ด้วย ท่าเรือเค้าเปิดเวลาเดียวกับวิลล่าให้ไปขึ้นที่ Lido di Lenno ค่าเรืออยู่ที่ 5 Euro สำหรับไปขาเดียวแล้วเดินกลับ หรือไปกลับ 7 Euro ถ้ามาแล้วเรือเต็มก่อนก็รอเค้ากลับมาใหม่ครับ คนขับบอกว่ารอครึ่งชั่วโมงแต่จริงๆไม่ถึงหรอก
เรือเป็นแบบนี้เท่ดีแถมบนเรือมีของเล่นด้วยอยากได้ ระหว่างทางก็จะเห็นวิลล่าจากด้านล่างยังกะอยู่ในหนังแน่ะ
มาถึงแล้วขึ้นท่านี้แล้วก็ต้องซื้อตั๋วค่าเข้าอีกรอบถ้าดูแต่ในสวนค่าเสียหาย 11 Euro แต่ถ้าอยากดูในบ้านเค้าด้วยเพิ่มอีก 22 Euro แต่เรามาติ่งตามหนังเฉยๆดูแต่ในสวนจ้า
ตรงนี้เป็นที่ที่อนาคิน สกายวอล์คเกอร์บอกกับพัดเม่ อมิดาล่าว่า "I don't like sand. It's coarse and rough and irritating and it gets everywhere." กรี๊ดมากได้มาเห็นที่จริงแล้ว
มีคนสุดกว่าคือเอาชุดเจไดมาด้วยนับถือเลยแต่ชุดผิดนะครับหัวหน้า นอกจากระเบียงริมน้ำแล้วก็มีระเบียงที่อยู่ยอดเนินอีกอันที่อนาคินมายืนทำสมาธิเพราะคืนก่อนฝันร้ายเห็นแม่

นอกจากมาติ่งตามหนังแล้วในสวนมันสวยมากครับ ดอกไม้สีแดงสีม่วงเยอะแยะ บนหินบนรั้วกับรูปสลักหินมีมอสเกาะเขียวสดชื่นมาก คนที่ชอบถ่ายรูปถ้าได้มาถ่ายเมมเต็มแน่นอน ถ้ามาที่โคโมห้ามพลาด
ทะเลสาบการ์ดา (Lake Garda)
เที่ยวจบจากตรงนี้ประมาณเที่ยงแล้วก็เลยขับรถต่อไปที่ต่อไปเลยคือ Lake Garda เป็นอีกทะเลสาบที่อยู่ห่างไปอีก 4 ชั่วโมง เป็นทะเลสาบที่อยู่บนทางขับรถไปเทือกเขา Dolomites เลย ถ้ามีเวลาควรแวะมากๆ
คืนนี้เราก็จะพักกันที่ Casa Cressotti Apartamenti เพราะที่จอดฟรี ที่จอดจะอยู่ห่างไปหน่อยแต่ลุงเจ้าของเค้าเอารถเล็กๆมาช่วยขนกระเป๋าเลยไม่ตายเท่าไหร่ แต่ต้องแบกขึ้นบันไดสองชั้นนะ ลุงแอบเหน็บว่ามาคืนเดียวกระเป๋าใหญ่แท้ ห้องมีระเบียงให้นั่งเล่นดูถนนข้างล่างได้ด้วย บรรยากาศดีเลิศ
บอกจริงๆว่าการ์ดากับโคโมคล้ายๆกันนะแต่ว่าที่นี่นักท่องเที่ยวน้อยกว่า 20 เท่าทำให้มันชิวกว่าเยอะมาก มีเมืองอยู่รอบๆทะเลสาบให้ไปเที่ยวได้ไม่ว่าจะขับรถหรือว่านั่งเรือสาธารณะ ครั้งนี้เรามีเวลามาแค่เมืองเดียวเลยเลือก Malcesine เพราะเท่าที่ศึกษามามันสวยมีเอกลักษณ์มากที่มีปราสาทอยู่บนโขดหินสูงริมน้ำถ่ายภาพสวยแน่ๆ

เมืองเค้าก็เล็กๆชิวๆสะอาดสะอ้านผู้ดีมาก วันนี้มีเวลามากเลยขอไปโดดน้ำจริงๆจังๆเพราะมันร้อนมาก น้ำเย็นแบบกรีดร้อง 555 วีดีโอถ่ายจากโทรศัพท์แบบรีบๆเพราะร่างกายต้องการน้ำ
พอเล่นน้ำจนหายร้อนแล้วก็ไปหาที่ถ่ายรูปได้ ตอนขับรถเข้ามีเห็นทางเดินริมน้ำน่าสนใจ เสิชหาได้บน Google Maps ว่า Malcesine lakefront ได้เลยจ้า ระหว่างทางมีเรือจอดอยู่เยอะ พอเดินมาไม่นานก็หันไปเห็นเมือง Malcesine จากระยะไกลแล้ว
ยืนรออยู่นานอีกแล้วแต่ฟ้าไม่ยอมมืด 55 ได้แฮปปี้แล้วกับรูปที่ได้มา มี 2 เวอร์ชั่นภาพสีและขาวดำ
ฟ้ายังสว่างอยู่ก่อนนอนคืนนี้เลยขออีกมุมที่อยู่อีกข้างของปราสาทที่ Paina Beach ที่เดียวกับที่มาเล่นน้ำเมื่อบ่ายนี้เลย เห็นมุมเลยกลับมาโดนซะหน่อย

Day 10
วันนี้ตื่นเช้าอีกเหมือนเดิมเลยไม่นอนกลิ้งไปมาให้เสียเวลา ออกไปเดินเล่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
สุดท้ายไม่รู้ไปไหนแต่แสงมันสวยดีเลยกลับมาซ้ำหน่อยก่อนไปจากเมืองนี้ ถ้าอนาคตมีบุญได้มาแถวนี้อีกก็อยากจะมีเวลามากกว่านี้หน่อย
หลังจากนี้เราก็จะออกจากที่นี่แล้วไปต่อกันที่ Dolomites แต่ว่าเราไปกันตั้ง 4 คืนเลยขอยกไปไว้ตอนหน้าเพราะเดี๋ยวตอนนี้จะยาวเกินไป หลังจากไป Dolomites 4 คืนเราไปจบลงที่ Venice ซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้ายก่อนกลับบ้าน
Day 14 - เวนิซ (Venice)
ขับรถออกมาจากเทือกเขา Dolomites โดยเริ่มจากเมือง Corrina d'Ampezzo เป็นทางที่โหดและโค้งหลายสิบโค้งมากบางช่วงแคบแบบไปได้ทีละคันถ้ามีรถสวน ขับมาก็ให้ใจเย็นๆนาจา พอออกมาจากเขาแล้วก็เป็นทางด่วนธรรมดาขับง่ายแล้ว ก่อนจะไปที่เกาะ Venice เราเอารถไปคืนก่อนที่สนามบิน Venice Marco Polo Airport
จากตรงนี้ไปสามารถเลือกได้ว่าจะไปเวนิซโดยรถแท็กซี่หรือทางเรือ แท็กซี่แค่ 20 นาทีหรือถ้าอยากได้บรรยากาศไปเวนิซก็สามารถนั่งเรือโดยสารสาธารณะก็ได้ พอออกมาจากที่คืนรถก็จะมีป้ายบอกทางชัดเจนอยู่ พอลงมาถึงท่าน้ำแล้วก็ถามพนักงานแถวนั้นว่าซื้อตั๋วไปเวนิซที่ไหนหาไม่ยากครับ ส่วนตั๋วเรือสามารถซื้อบัตรแบบเหมาได้ ซื้อได้ที่ท่าเรือทุกที่เลย แต่ว่าถ้าไม่ได้คิดว่าจะนั่งบ่อยก็ไม่ต้องซื้อหนะครับเพราะเดินเอาได้
สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปคือเวนิซมีกฎว่าห้ามลากกระเป๋าเพราะเค้าบอกว่าคนพื้นที่เดือดร้อนมากเราก็เลยจองโรงแรมแบบอยู่ตรงท่าเรือเลยจะได้ไม่ต้องลาก ปรากฎว่ามาถึงที่จริงคนลากกันบาน เอาเป็นว่าเราก็ใช้จิตสำนึกเอาละกันว่าตอนไหนควรลากจะรบกวนใครรึเปล่า โรงแรมที่เราอยู่คือ Hotel Rialto ที่อยู่ติดกับสะพาน Rialto กับท่าเรือที่มีชื่อเดียวกัน ที่เที่ยวสำคัญของเวนิซเลย เค้ามีหลายราคาถ้าห้องถูกหน่อยก็จะอยู่ในซอยในหลืบหน่อยแต่ห้องคุณภาพโอเคครับ

พอเช็คอินไรแล้วก็ไปเที่ยวกันได้เพราะว่าจองทัวร์นั่งเรือกอนโดล่ากัน อันนี้เราก็จองแบบนั่งสั้นๆแบบให้ได้รู้ว่านั่งแล้วอุตส่าห์มาทั้งที พูดกันตรงๆมันให้ความรู้สึกเหมือนฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทยแล้วอยากจะลองนั่งตุ๊กตุ๊กหรือเรือหางยาว ราคามันก็แพงแล้วก็แค่พายไปตามคลองที่คนเยอะมากๆไม่ได้บรรยากาศดีอย่างที่หลายคนอาจจะคิด ตรงนี้คือที่ขึ้นเรือลำนึงนั่งได้ 5 คนถ้ามาไม่ถึงก็นั่งกับบ้านอื่นไป
เรือก็จะพายเป็นสายไปตามคลองเหมือนตอนไปเที่ยวเวียดนามถ้าดวงดีก็จะมีเรือที่เค้าจ้างนักร้องมาร้องบนเรือด้วย เสียงดีนะ ทุกคนร้องเพลงเดียวกัน O sole mio วันนี้ดวงดีพอจะลงเรือมีนกอึใส่ซะงั้น ฮ่วย!
เว็บซื้อทัวร์: https://www.getyourguide.com/venice-l35/venice-private-gondola-ride-along-canal-grande-t283807/
หลังจากนี้ก็เดินเที่ยวกันในเมือง เมืองเวนิซมีชื่อเสียงว่าเป็นเมืองที่มีสะพานเยอะที่สุดในโลก สะพานสั้นๆข้ามคลอง เหมาะกับการยืนดูคนพายเรือไปตามคลองเล็กๆ เวลาจะหยุดถ่ายภาพก็ให้มั่นใจว่าเราไม่ขวางทางใครนะครับเพราะคนแถวนี้เห็นนักท่องเที่ยวหยุดถ่ายรูปขวางทางออกซอยแคบๆเค้าชนเลยนา
เวนิซนี่เสียอย่างเพราะอะไรๆก็แพงหูฉี่เพราะนักท่องเที่ยวล้นมาก ร้านอาหารแพงแถมไม่ค่อยอร่อยด้วย แต่ยังไงถ้าหาไรกินไม่ได้แนะนำมาร้านนี้ได้ รสชาติโอเคราคารับได้ Il Diavolo E L'acqua Santa อยู่ในซอกเล็กๆแปลกๆคูลๆ กินข้าวเสร็จก็เดินออกมาที่ริมน้ำใกล้สะพาน Rialto ที่ๆเราจะมาถ่ายภาพเย็นนี้
ที่สะพาน Rialto มีให้ถ่ายได้หลายมุมทั้งจากบนสะพานและจากริมน้ำ รอนานอีกแล้วกว่าจะเห็นไฟติด ยืนรอจนเมื่อย ไม่มาเที่ยวยุโรปหน้าร้อนอีกแล้วจ้า อันนี้เป็นภาพจากบนสะพาน ตอนยืนถ่ายรูปเกือบจับไปโดนอ้วกใครไม่รู้ จุดจบสายแข็งอยู่ที่นี่
อันนี้เป็นอีกมุมที่ผมว่าสวยกว่าเพราะเห็นสะพานด้วย ไปง่ายมากแต่ว่าเป็นแค่สะพานไม้เล็กๆอาจจะต้องไปจองคิวเร็วหน่อย เปิดวาร์ปได้เลย https://goo.gl/maps/nzcPpH8SL3yycyLu9
Day 15
เช้าวันนี้ตื่นเต้นมากเพราะจะตื่นแต่เช้าไปถ่ายภาพมุมที่อยากมานานแล้ว ออกจากโรงแรมแล้วเดินไปที่ Piazza San Marco เดินออกมากลางคืนก็จะเงียบๆหน่อยมีตำรวจเดินลาดตระเวณบางจุด มีแมวออกมาเดินเล่นตอนมนุษย์ไม่เดินพลุกพล่านให้น่ารำคาญ ที่ถ่ายภาพหาง่ายมากอยู่ตรงริมน้ำเลย มองออกไปก็จะมีเรือกอนโดล่าเป็น foreground และมีโบสถ์กับหอระฆังบนเกาะตรงข้ามเป็น background เดินหาตะเกียงได้ก่อนเค้าจะดับไฟ ต้องรีบหน่อยก่อนไฟจะดับ

ใกล้ๆกันก็จะมีสะพานทางเชื่อมข้ามคลองสวยๆที่ยื่นออกมาจาก Doge's Palace มองจากตรงนี้เห็นสะพานทั้งหมด 3 อันด้วยกัน
หลังจากนั้นยังกลับมาถ่ายภาพที่ลานหน้าโบสถ์ St. Mark's ได้อีก ตรงนี้ถ้าไม่มาตอนเช้าไม่มีทางจะได้เห็นภาพที่ไม่มีคนแน่นอน

วันนี้เราจะไปเที่ยวที่เกาะใกล้ๆเวนิซกันโดยเรือสาธารณะ เกาะชื่อว่า Murano กับ Burano เป็นเกาะเล็กๆที่มีเชื่อเสียงเรื่องงานฝีมือเป่าแก้วและผ้าลูกไม้ แต่คนส่วนใหญ่ไปดูบ้านที่เค้าทาสีสดๆริมคลอง ตอนเช้าไม่มีคนทำให้เวนิซสวยกว่าเดิมเยอะมาก ภาพถ่ายตามทางไปขึ้นเรือ
การไป Murano ให้เดินมาที่ท่าเรือ F.te Nove แล้วไปรอเรือสาย 4.1 หรือ 4.2 ที่โป๊ะ B อันนี้สำคัญนะครับถ้าไปผิดอันนี่เรือมันไปคนละทาง เสิชกูเกิลก็ได้ง่ายมาก แนะนำไปลงที่ท่า Colonna แล้วเดินเที่ยว
มาถึงตั้งแต่ 8 โมงเลยมีแต่ร้านกาแฟชาวบ้านๆเปิดอยู่เลยไปหาไรกินก่อน กาแฟโคตรขม มาเช้ามันดีที่ไม่มีคนเลยแบบนี้แหละ
เดินแป๊บเดียวก็ทั่วเกาะแล้วแต่อยากรอร้านขายของเปิดตอน 10 โมงเลยหาร้านคาเฟ่นั่งรอไปชิวๆ
เกาะมูราโน่เค้ามีชื่อเสียงด้านการเป่าแก้วแล้วไม่ว่าจะเดินไปไหนก็จะมีร้านขายแก้วเป่าในรูปแบบต่างๆ ของประดับบ้าน ภาชนะอาหารเครื่องดื่ม แต่ที่โดนใจภรรยามากสุดคือต่างหูและสร้อยคอที่ใช้แก้วหลายสีทำเป็นลายดอกเล็กๆน่ารัก ซื้อมาทั้งหมด 3 เซ็ต แหะๆ เอาจริงๆแล้วของที่ขายบนเกาะนี้มีขายที่เวนิซเหมือนกันครับถ้าไม่อยากมาที่นี่
พอพร้อมจะไปต่อแล้วให้เดินไปท่าเรือ Faro di Murano เพื่อรอเรือไปที่เกาะ Burano ต่อไปเหมือนเค้าเป็นแพ๊คคู่ มาแล้วต้องไปทั้งสองอัน 55 ถ้าหาท่าเรือไม่เจอให้จ้องประภาคารสีขาวดำเหมือนในรูปข้างบนไว้ อยู่ที่เดียวกันเลย
บนเกาะบูราโน่ก็มีงานโอท็อปเป็นผ้าลูกไม้ต่างๆ ทำเป็นร่มเป็นพัดเป็นของประดับบ้านหรือเสื้อผ้าก็มี
เสร็จแล้วไปเดินดูบ้านเมืองเค้านิดหน่อย ปกติเมืองในอิตาลีเค้าคุมโทนแต่เหมือนเมืองนี้มีกฎห้ามสีซ้ำกัน
ลุงคนนี้ขายแก้วเป่าอยู่เกาะนี้ ใจดีให้ถ่ายภาพไว้ด้วย ซื้อของกับเจ้าของผลงานมันดีที่เค้าดูภูมิใจ

กลับมาขึ้นเรือที่ท่าเดิมได้เลยเพื่อกลับไปเวนิซ นั่งนานจนหลับไปเลย กลับมาแล้วกลับโรงแรมไปเอาแอร์ให้หายเหนื่อยหน่อยเพราะร้อนเหลือเกิน ตอนบ่ายวันนี้จองตั๋วไว้แล้วสำหรับเข้าไปดูในโบสถ์ St. Mark's Basilica และ St Mark's Campanile ที่เป็นหอระฆังสูงมากหน้าโบสถ์
เว็บซื้อตั๋ว
St. Mark's Basilica 6 Euro / St. Mark's Campanile 12 Euro: https://basilicasanmarco.skiperformance.com/en/store#/en/buy?bookable_y_n_a=a
ความมหัศจรรย์คือเค้าสร้างสิ่งก่อสร้างใหญ่และหนักขนาดนี้บนพื้นที่เป็นดินโคลนนี้ได้ เวนิซทั้งเมืองถูกสร้างบนดินขี้เลนริมทะเลทั้งหมดโดยคนสมัยก่อนเอาท่อนซุงใหญ่ๆเยอะมากมาตอกลงไปในดินโคลนแล้วสร้างเป็นพื้นฐานสร้างเมืองที่เห็นทุกวันนี้ ไม้ที่อยู่ในดินไม่ได้เจอลมฟ้าอากาศเลยรอดมาเป็นพันปีได้แถมยังสร้างเมืองใหญ่โต เป็นการก่อสร้างที่ต้องใช้ความบ้าคลั่งของคนคิดจริงๆ
คนที่ตามอ่านมาตั้งแต่ตอนแรกจะเห็นว่าโบสถ์นี้ก็มีสไตล์การประดับตกแต่งที่ต่างไปจากเมืองอื่นๆที่เราไปมาเพราะอิตาลีในสมัยก่อนไม่ได้เป็นประเทศเดียวกันและแต่ละสาธารณรัฐเค้าก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง แต่ความโหดคือบนเพดานเป็นศิลปะโมเสกหมดเลย คือต้องเอาหินเล็กๆมาติดตามเพดานจนทั่ว สุดยอดความอดทนและความประณีต ส่วนกำแพงเป็นแผนหินอ่อนขนาดใหญ่มาลวดลายแปลกตา
นอกจากความโหดของเพดานแล้วพื้นก็ไม่ยอม เป็นการใช้หินหลายสีทำเป็นลวดลาย พื้นด้านในมันเป็นคลื่นๆมากเพราะการทรุดตัวของพื้นและรากฐานของเมืองที่ทำจากไม้ที่ปักลงไปในโคลน
พอเดินดูด้านล่างแล้วทุกคนสามารถเลือกเดินไปดูชั้นสองที่เป็นพิพิธภัณฑ์กับสามารถออกไปดูระเบียงบนหลังคาโบสถ์ได้ ค่าเข้าคนละ 7 Euro ซื้อหน้างานได้เลยคนดูไม่เยอะ ขึ้นไปข้างบนจะมองลงมาเห็นด้านในโบสถ์จากชั้นสองได้ทำให้เห็นรายละเอียดโมเสกบนหลังคาได้ชัดเจน
ส่วนระเบียงบนหลังคาก็จะมองลงไปเห็นลานหน้าโบสถ์ที่มีคนอยู่เป็นล้าน
ด้านในก็จะมีจัดแสดงงานศิลปะของโบสถ์ที่หลุดออกมา ภาพวาดที่ถูกวาดโดยศิลปินชื่อดัง โมเดลจำลอง ภาพโมเสกที่เสียหายจากกาลเวลามาให้ดูใกล้ๆ
ม้า 4 ตัวนี้เคยถูกตั้งไว้บนระเบียงหน้าโบสถ์แต่เค้าเก็บกับเข้ามาอนุรักษ์ไว้แล้วเอาแบบจำลองไปตั้งแทน ตามตัวม้ามีรอยขีดข่วนอยู่เพราะว่าแต่เดิมตอนเงาๆชาวบ้านออกมาโวยวายว่ามันสะท้อนแสงแสบตามากเลยต้องขูดให้มันหายเงา เปรียบคงเหมือนป้ายโฆษณาสมัยนี้ที่สว่างแสบตาคนขับรถเหลือเกิน

พอดูเสร็จแล้วก็กลับออกมาแล้วไปต่อที่หอระฆังด้านนอกเลยครับ คือดูจากข้างนอกมันสูงมากๆแล้วเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องเดินขึ้นบันไดหอบแฮ่กแน่นอน แต่ฟ้ามีตาที่นี่ใช้ขึ้นลิฟท์ไปเลยน้ำตาแทบไหล ด้านบนสามารถเห็นได้รอบด้านเลยแบบนี้
ตอนแรกเห็นระฆังแล้วก็กังวลว่าถ้าตีระฆังทุกชั่วโมงแล้วหูเราจะตึงมั้ยเพราะมันใกล้มาก แต่ไม่ต้องห่วงเพราะระฆังนี้เค้าไม่ใช้แล้ว
วันนี้ไม่ได้ไปถ่ายภาพตอนเย็นที่ไหนเลยครับเพราะว่ามุมที่หามาเนี่ยโบสถ์เค้าซ่อมอยู่แล้วสมัยนี้ยุโรปเอาป้ายโฆษณามาแปะตามนั่งร้านด้วย ไม่สวยเล้ย พอดีวันก่อนเดินผ่านที่นี่ไม่รู้เค้าเรียกว่าอะไร Scuola Grande Confraternita di S.Teodoro แล้วเห็นเค้าขายบัตรคอนเสิร์ตเล่นเพลง Four Seasons ของ Antonio Vivaldi นักแต่งเพลงชาวเวเนเชี่ยนที่เกิดที่เมืองนี้พอดี แล้วนักดนตรีเค้าก็จะแต่งตัวเหมือนสมัยเรเนซองส์ด้วย เลยตัดสินใจไปดูนี่แหละ สนุกดีครับถ้าใครหาไรทำไม่ได้แนะนำลองดูอันนี้นะ
Day 16
วันรุ่งขึ้นเราก็จะกลับกันแล้ว เช้าสุดท้ายในเวนิซเลยเดินมาถ่ายภาพที่สะพาน Ponte dell'Accademia อีกมุมมหาชนของที่นี่

สะพานนี้เป็นสะพานไม้ไม่กี่แห่งในเวนิซด้วย บรรยากาศก่อนฟ้าสว่างก็สวยดี

ถ้าใครมีเวลาจะเดินเที่ยวรอบๆก่อนก็ได้ เวนิซตอนไม่มีคนสวยเสมอ
ต้องบ๊ายบายอิตาลีแล้วหลังจากขับรถไปทั่วมา 16 วัน การเดินทางกลับบ้านเราต้องกลับไปขึ้นเครื่องบินที่มิลานเพราะฉะนั้นต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟ Santa Lucia แบบ express ไปที่ Milano Centrale และนั่งรถไฟ express ไปสนามบิน Malpensa Airport ถ้าทำได้แนะนำจองตั๋วล่วงหน้าไปเลยจะได้ไม่ต้องไปด้นสดหน้างานจ้า จองที่นี่ https://www.italiarail.com/
อีกอย่างที่ขอเตือนคือรถไฟมีโอกาสดีเลย์เป็นชั่วโมงเพราะฉะนั้นควรเผื่อเวลามากๆหน่อย แล้วการทำ tax refund สำหรับสายช็อปก็ใช้เวลามากอีก คือระบบที่นี่เหมือนจะดีแต่มันห่วยผิดคาด เพราะฉะนั้นเผื่อเวลาให้ตรงนี้ด้วยอีก 1 ชั่วโมง
บางจุดอาจจะดูทัวร์ชะโงกไปหน่อยแต่หวังว่าทุกคนที่ติดตามอ่านจะสนุกและได้แรงบันดาลใจได้ข้อมูลสำหรับไปเที่ยวกันเอง สนุกไม่สนุกมาบอกกันแสดงความเห็นกันได้เลย ถ้ารักกันชอบกันฝากกดติดตามบนเพจผมด้วยนะครับ ขอบคุณครับ สนับสนุนการทำงานของผมได้โดยการเลี้ยงน้ำเลี้ยงขนมได้ด้านล่างเลยครับ
Comentários