top of page
  • รูปภาพนักเขียนOpp

6 วัน 5 คืน มิงกะลาบา ลุยพม่าตามหา 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์

อัปเดตเมื่อ 15 เม.ย. 2566



สวัสดีครับ โพสนี้เกี่ยวกับการเดินทางไปพม่าเมื่อหลายปีมาแล้วและเขียนไว้แต่ในพันทิป วันนี้มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองแล้วก็เอามารวมๆกันไว้เลย พูดถึงพม่าแล้วเป็นที่อยากไปมานานแล้วและยังอยากจะกลับไปอีกถ้ามีเวลา ทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่โด่งดังมากมาย และจาการดูรูปสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ดูแล้วอลังการมากๆเลย


ตารางการเดินทางของเราในเวลา 6 วัน 5 คืน ก็มีคร่าวๆประมาณนี้ครับ

วันที่ 1 - เดินทางถึงมัณฑะเลย์ (Mandalay) ตอนเที่ยง นอนค้างที่นี่ 1 คืน

วันที่ 2 - เที่ยวมัณฑะเลย์ต่อตอนเช้าก่อนนั่งรถไปพุกาม (Bagan) และนอนค้างที่พุกาม

วันที่ 3 - เที่ยวในพุกาม 1 วันเต็มๆและนอนค้างที่นี่อีก 1 คืนค่า

วันที่ 4 - นั่งเครื่องบินไปย่างกุ้ง (Yangon หรือ Rangoon) นั่งรถต่อไปพะโค (Bago) เพื่อที่จะขึ้นไปอินแขวน ค้างบนเขาอีก 1 คืน

วันที่ 5 - นั่งรถกลับย่างกุ้งและค้างย่างกุ้งคืนสุดท้าย

วันที่ 6 - เดินทางกลับกรุงเทพจ้า

 

มัณฑะเลย์ (Mandalay)

เริ่มต้นวางแผนกันที่โชคดีมีตั๋วราคาค่อนข้างถูก กรุงเทพ-มัณฑะเลย์ และย่างกุ้ง-กรุงเทพ ได้มาในราคา 3,800 บาทจากแอพ Traveloka ไป Airasia กลับ Nok Air จากนั้นก็ติดต่อบริษัททัวร์ที่พม่าให้จัดการหาคนขับรถ จองโรงแรม จองตั๋วเครื่องบินในประเทศให้ เรื่องที่เที่ยวก็สามารถรีเควสได้ หรือถ้าไปหน้างานแล้วเปลี่ยนใจอะไรก็คุยกันได้ครับ

ดูจากสนามบินแล้วคิดว่าน่าจะแลนด์ตรงไหนก็ได้ โล่งไปสุดสายตา 555 วันแรกเราไปถึงมัณฑะเลย์ ตอนเที่ยงนิดๆ เวลาที่พม่าจะช้ากว่าเราครึ่งชั่วโมงนะครับ พอออกมาจากต.ม.ก็เห็นพี่คนขับรถชูป้ายรออยู่เลย พอไปถึงก็ทำการแลกเงินกันก่อน


แนะนำว่าให้แลกเงิน USD จากไทยไปแล้วเอาไปแลกเงินจ๊าต (Kyat) ที่พม่า เรท 1 USD = 1,350-1,380 MMK แนะนำเอาแบงค์ 100 USD ใหม่ๆไปแลกจะได้ราคากว่าครับ (ตอนแลกอยากได้แบงค์ใหม่ๆจากเราแต่ตอนเอาเงินพม่ามาให้เน่ายังกะเอาไปเช็ดตูดมา)


แลกมาแล้วกระเป๋าจะตุงเบอร์นี้เลย นี่แลกไปแค่ 200 USD ได้มา 268,000 จ๊าต

กรีดโชว์หนึ่งที ใครมีเวลาว่างเล่นเน็ตวันละสองสามชั่วโมงติดต่อมาเลย


แลกเงินเรียบร้อยเราก็ไปคุยกับพี่คนขับชื่อว่าพี่ซอ เพราะเราต้องการเปลี่ยนแผนไปมิงกุน (Mingun) แทนเพราะว่าอยากไปดูระฆังยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกครับ (เมื่อก่อนอันที่ใหญ่ที่สุดอยู่รัสเซียแต่เห็นว่าแตกไปแล้ว) พี่คนขับแนะนำว่าให้นั่งเรือไปโดยใช้เวลาพอๆกับนั่งรถ นั่งเรือล่องแม่น้ำอิระวดีคูลกว่ากันเยอะพี่เค้าเลยไปส่งที่ท่าเรือในเมืองอมรปุระ (Amarapura)

นั่งรถจากสนามบินไปท่าเรือ ใช้เวลาประมาณ 1 ช.ม. ถึง ช.ม. ครึ่ง พี่เค้าขับรถช้ามากกกและบีบแตรทุกครั้งที่มีมอเตอร์ไซค์อยู่ในระยะสายตาจนเรานึกว่าพี่เค้าเคยเข็นรถขายปลาหมึกบดมาก๊อนนน


จากนั้นขึ้นเรือไปอีก ประมาณ 1 ช.ม. กินลมชมวิวถ่ายรูปไปเรื่อย ไม่กี่ชั่วโมงถ่ายรูปไปแล้วร่วมร้อยด้วยความตื่นเต้น พวกผมเอาข้าวไปกินบนเรือด้วยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ช่วงที่ไปบอกเลยว่าร้อนมากกก ใครอยากมีผิวสีแทนมานี่ฝันเป็นจริงแน่นอน ค่าเรือไปและกลับเสียหายไป 30,000 จ๊าต

เรือลำใหญ่ดีมั้ยล่ะ ไม่ใช่เรือผม ของผมลำนี้

แม่น้ำอิระวดีนั้นกว้างใหญ่มากๆ ใหญ่กว่าแม่น้ำโขงที่เคยไปเห็นมาแล้วซะอีก นั่งเรือมาประมาณ 40 นาทีเราก็ได้เห็นแล้วเจดีย์มิงกุน (Mingun Pagoda) ตั้งตระหง่านอยู่ริมน้ำ เจดีย์มิงกุนนี้แต่เดิมถูกวางแผนให้สร้างไปสูงมากๆ แต่ที่เหลือให้เห็นคือแค่ 1 ใน 5 ของเจดีย์เท่านั้นครับ ส่วนสาเหตุที่เหลือแค่นี้ไม่ใช่ว่าโดนเผาทำลายแต่อย่างใดแต่เป็นเพราะว่าที่ริมน้ำดินอ่อนสร้างไปก็พังๆๆ ไล่ออกสิครับใครเป็นวิศวกร

พอถึงมิงกุนจะมีรถรับจ้างและไกด์ท้องถิ่น (ที่ไม่ได้จ้าง) มารอไถเงินเราอยู่พร้อม ถ้ามีเวลาและแรงเดินก็ไม่ต้องใช้บริการรถสกายแล็บนะครับ ข้อควรระวัง น้องไกด์ที่เป็นนักเรียนจะเดินตามชวนคุยนู่นนี่นั่น ถ้าไม่อยากเสียเงินก็ไม่ต้องไปหืออือกับเค้า แต่ถ้าอยากได้ข้อมูลความรู้ก็ยอมจ่ายทิปตอนจบ ผมให้ได้นะแต่พี่แกขอเยอะเกิ๊น (ขอ 40 เหรียญ ช่างกล้าเอาไป 5,000 จ๊าตพอเพราะดันลากเพื่อนที่ไม่ได้ทำอะไรเลยมาขอเงินด้วย) ตอกเข้าเดี๋ยวเรือหาย

ที่แรกที่น้องๆเค้าพาไปคือเจดีย์ขาวหรือเจดีย์ชินพิวเม (Hsinbyume Pagoda) น้องเค้าเรียกว่าทัชมาฮาลผมก็เลยเออออไป สวยมากๆครับ ใครกลัวร้อนเท้าน้องเค้าบอกว่าให้เดินบนหินอ่อนจะไม่ร้อน พอลองเดินดูเท่านั้นแหละ ไม่ร้อนบ้าไรล่ะ T T

เดินขึ้นไปแล้วด้านบนสุดจะเป็นพระพุทธรูปครับ น้องไกด์บอกว่าองค์ด้านหลังเป็นองค์เก่าดั้งเดิมอายุกว่า 200 ปี ส่วนองค์ด้านหน้านั้นสร้างจำลองมาให้กราบไหว้ป้องกันองค์เดิมบุบสลาย เหมือนพระอายต้องแอบหลังเพื่อน

จากบนยอดของเจดีย์สามารถมองลอดรูของใบเสมา(มั้ง)แล้วเห็นเจดีย์มิงกุนที่เราจะไปด้วย ใหญ่โตจริงๆ

จุดต่อไปเราไปดูสิ่งที่รอคอย ระฆังยักษ์แห่งมิงกุน (Mingun Bell) ใหญ่จริงสมคำร่ำลือ ระฆังนี้หล่อมาเพื่อเป็นอนุสรณ์ว่าเจดีย์มิงกุนสร้างไม่เสร็จ (???) อันนี้น้องเค้าเล่าให้ฟังผมก็ไม่รู้ว่าน้องมั่วมั้ย จุดนี้ห้ามใจอ่อนเพราะเด็กรอขอตังค์เยอะมาก เสียดายที่ที่สวยๆแบบนี้มีแต่คนมารบกวน

ถ้าจะดูว่าใหญ่แค่ไหนลองเทียบสเกลกับน้องคนนี้เอาครับ


ที่สุดท้ายของเมืองนี้และเป็นไฮไลท์ก็คือเจดีย์มิงกุน (Mingun Pagoda) มันใหญ่มากจนไม่รู้จะเก็บภาพมายังไงให้สื่อถึงความใหญ่เลยต้องรอพี่คนนี้เดินเข้ามาแต่ว่าจริงๆพี่เค้าอยู่ใกล้กล้องเราไปหน่อยเลยทำให้ตัวเค้าใหญ่กว่าที่ควรจะเป็น

น้องไกด์บอกว่าซากเจดีย์นี้มีอิฐอยู่กว่าเจ็ดล้านก้อนด้วยกัน มีทั้งไบก้อน พาราก้อน บาร์บีก้อนมาหมด เห็นรอยร้าวแล้วก็แอบคิดว่ามันคงพังลงมาซักวัน ใครมีโอกาสก็รีบมาดูนะครับ


หลังจากจุดนี้ก็ถูกพาไปไถเงินกันเรียบร้อย มีการพาไปที่อื่นก่อนกลับเรือสงสัยกลัวพี่พนักงานเรือด่าเอา ถือว่าเป็นค่าแนะนำสถานที่กันปาย เราก็นั่งเรือกลับไปที่จุดเดิมครับโดยขากลับจะเร็วกว่าเพราะเรือไปตามน้ำ ขากลับหลับยาวไม่ต้องถามเหนื่อยแค่ไหน


ก่อนเข้าโรงแรมที่พักเราไปดูพระอาทิตย์ตกต่อที่สะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก 1.2 ก.ม. สะพานอูเบ็ง (U Bein Bridge) ที่ทอดข้ามทะเลสาบตองตะมาน สะพานถูกสร้างจากเสาไม้สักที่เหลืออยู่จากการย้ายเมืองหลวงจากเมืองอังวะไปเมืองอมรปุระโดยมีเสาทั้งหมด 1,086 ต้นด้วยกันจ้า

มาถึงตอนนี้รู้แล้วว่าคนพม่าเค้ารักที่จะมาเที่ยวกันตามสถานที่แบบนี้มาก คนเยอะเหมือนคนกรุงเทพไปเดินสยามอะไรแบบนั้นเลย ส่วนพระสงฆ์นี่เซลฟี่กันไม่เกรงใจเจ้าอาวาสกันบ้างเลย

บรรยากาศดีมาๆเลยครับไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่มาแฮงเอาท์กันหรือจะเป็นธรรมชาติที่สงบมากๆ นี่ถ้ายุงไม่กัดแบบเอาชีวิตและเห็นภาพพี่ซอคนขับนั่งตบยุงอย่างยากลำบากก็จะอยู่ต่อซะหน่อย


จบวันแรกด้วยการเช็คอินเข้าโรงแรม Yadanarpon Dynasty Hotel โรงแรมสวยทีเดียวแถมอยู่ใกล้พระราชวังมัณฑะเลย์ ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะไม่มีค่าโฆษณาให้ ล้อเล่นครับพอดีมันเหนื้อยเหนื่อย เดินไปหาอะไรกินกับลองกินเบียร์ Mandalay และ Myanmar อร่อยมากรักเลย


วันต่อมาเราออกกันตั้งแต่ตี 4 เพื่อที่จะไปเข้าร่วมพิธีล้างหน้าพระมหามัยมุณี (Mahamuni Buddha) ถ้าไปช้าจะไม่ได้ดูใกล้ๆนะครับ คนพม่ามากันเยอะมากคนไทยก็เช่นกัน เห็นองค์พระแล้วไม่สงสัยเลยทำไมคนถึงเลื่อมไสขนาดนี้ พระมหามุณียังเป็น 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุดที่เรามาตามเก็บด้วยครับ

เสร็จพิธีแล้วก็ไปปิดทองที่องค์พระครับแผ่นทองมีขายที่ทางเข้า ทองแปะยากมากๆ แกะปุ๊บปลิวไปไหนไม่รู้เลย ตรงนี้ผู้หญิงเข้าไม่ได้นะครับ น่าเสียดายจริงๆ

เสร็จสิ้นจากตรงนี้เราก็บึ่งรถไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Mandalay Hill กันแต่เอาเข้าจริงพระอาทิตย์ขึ้นนี่ธรรมดาๆเลยหันไปถ่ายวัดกับคนที่มาไหว้พระแทน แสงอาทิตย์ทะลุเมฆสวยดีครับเสียดายพื้นข้างล่างโล่งโจ้งไปหน่อย

ฝั่งนี้มองเข้าเมืองครับที่เห็นไกลๆนั่นพระราชวังมัณฑะเลย์

รอบๆอาคารตกแต่งด้วยกระจกสีต่างๆสะท้อนแสงอาทิตย์แล้วสวยดีครับ ไม่เสียเที่ยว

จากนี้ก็กลับมากินข้าวเช้าที่โรงแรมอาบน้ำแต่งตัว (นอนต่อ) และเช็คเอาท์ไปเที่ยวต่อที่วิหารชเวนันดอว์ (Shwenandaw Monastery) เป็นวิหารไม้สักออริจินัลหนึ่งเดียวที่เหลือรอดมาจากไฟสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เดิมอยู่ในกำแพงพระราชวังแต่เนื่องจากพระเจ้าธีบอได้ถวายให้กับวัดไว้ก่อนเพราะพระบิดาที่สวรรณคตไปแล้วมาเข้าฝัน วิหารชเวนันดอว์เลยรอดจากการทิ้งระเบิดนั่นเอง ตามป้ายบอกว่าวิหารแต่ก่อนปิดทองทั้งหลังแต่ตอนนี้ลอกหมดแล้วเหลือเห็นเป็นทองคือด้านในครับ ไม่ทองยังสวยขนาดนี้

ด้านในที่ทองยังไม่หลุดลอกไปก็สวยงามเบอร์นี้ครับ

ตอนขาออกจากวัดป้าคนนึงเค้าก็ตื้อๆให้ซื้อของเรียกเรา my friend, my friend เลยซื้อเค้ามาหนึ่งอัน คืนนั้นรู้สึกเหมือนมีคนจ้องตอนนอน

เสียเงินอีกครั้งที่รูปภาพที่เอาหมึกมาขูดๆกับกระดาษ คนขายน่ารักดีพอจะถ่ายรูปทำโชว์ใหญ่


ที่ต่อไปที่สุดท้ายของมัณฑะเลย์ครับ พระราชวังมัณฑะเลย์ (Mandalay Palace) ที่บอกว่าที่สุดท้ายนี่คือเวลามีแค่นี้ครับ ที่เที่ยวและสถานที่ทางประวัติศาสตร์ในมัณฑะเลย์มีเยอะมากจนมาครั้งเดียวไม่มีทางเก็บหมดแน่นอน ทางเข้าพระราชวังจำลองที่ทำขึ้นมาแทนของจริงที่ถูกสงครามทำลายไปครับ ดูไปแล้วอารมณ์เหมือนเมืองมัลลิกาที่กาญจนบุรี

ถูกจำลองขึ้นมาก็จริงแต่ถ้าถามหาเรื่องความงดงามวิจิตรพิสดารนี่อาจจะต้องผิดหวังไปนะครับ พอดูรูปเก่าๆสมัยก่อนก็อดเสียดายไม่ได้ที่วังสวยงามแบบนี้ต้องถูกทำลายไปหมด คนไทยโชคดีจริงๆที่สถานที่สำคัญยังเหลือมาจนวันนี้มากมาย

อย่างไรก็ดีรัฐบาลพม่าก็ต้องการทำไว้เป็นอนุสรณ์ให้คนได้รู้ว่าแต่ก่อนเคยมีสุดยอดสถาปัตยกรรมอยู่ตรงนี้และยังเป็นที่พักผ่อนให้กับคนพม่าอีกด้วยครับ

ภาพมุมสูงจากหอสังเกตการณ์ที่พระนางศุภยาลัตขึ้นมาเดินๆแล้วมองไปเห็นกองเรืออังกฤษบุกมายึดเมืองมัณฑะเลย์ถึงกับเป็นลมเป็นแล้ง แม่ชีตัวเล็กเค้าก็เล่นกล้องด้วย ผมตะโกนบอกถ่ายรูปหน่อยหันมองกล้องควับเลย ถ่ายเสร็จก็ลงละครับคนข้างๆมองแปลกๆ

 

พุกาม (Bagan)

พอออกจากวังแล้วพี่ซอก็สตาร์ทรถรอแล้วพร้อมออกเดินทางไปพุกามใช้เวลา 4 - 5 ชั่วโมงด้วยกันครับ ถ้าจำไม่ผิดนั่งรถบัสต้องนั่งข้ามคืนครับ ผมก็กลัวพี่ซอคนขับแกเหนื่อยแต่เท่าที่ดูพี่แกยังมีแรงกดแตรรถได้ตลอดทางผมก็สบายใจ


และแล้วเราก็มาถึงพุกามโดยพี่คนขับพามาส่งที่โรงแรม Bagan Thande Hotel อยู่ริมน้ำอิระวดีเลยทีเดียว โรงแรมนี้มีประวัติอยู่ว่าเจ้าชายของเวลส์ได้มาพำนักอยู่ในตอนที่เดินทางมาพุกามครับ ภายในโรงแรมต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นมากๆ กิ่งไม้ยึกยักซับซ้อนดูแล้วชอบมากๆเลย ส่วนพี่ซอขอให้เดินทางกลับมัณฑะเลย์โดยสวัสดิภาพครับ ใช้บริการคนขับรถอย่าลืมให้ทิปนะครับ เค้าตั้งใจทำงานกันดี

มาถึงประมาณห้าโมงก็เจอกับลุงคนขับคนใหม่ประจำเมืองนี้ ลุงพูดเก่งแนะนำได้ทุกวัดในพุกาม บอกลุงว่าเราอยากไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกลุงจัดให้พาไปเจดีย์ธรรมะยาซิกา (Dhamma Yazika Pagoda) ไม่รอช้าขึ้นไปจองที่บนเจดีย์ข้างๆ ที่พุกามเจดีย์ต่างๆคนเยอะมากตอนพระอาทิตย์ขึ้นและตกนะครับ ถ้าอยากได้ที่ดีๆไปเร็วๆหน่อย ถ่ายภาพที่พุกามไว้เยอะมากเพราะสวยจริงๆ


เจดีย์นี้คือเจดีย์ธรรมะยาซิกา ที่เห็นล้อมไม้ไผ่ไว้คือกำลังซ่อมบำรุงหลังจากแผ่นดินไหวครั้งที่ผ่านมาครับ เสียดายเหมือนกันที่เจดีย์แถวนี้ยอดหักไปเยอะเลย ไว้ซ่อมเสร็จแล้วจะกลับมาใหม่นะ

สมกับฉายาทะเลเจดีย์จริงๆมองไปตรงไหนก็มีแต่เจดีย์ อาจจะบอกชื่อได้ไม่หมดต้องขออภัยนะครับ จังหวะดีพระอาทิตย์ตกกลมมากๆ ฟ้าเปิดสุดๆ

ที่เห็นไกลๆตรงกลางคือเจดีย์ธัตปินนิ่ว (อันนี้ออกเสียงตามลุงคนขับบอกเลย) (Thatbyinnyu Temple) ความสำคัญของเจดีย์นี้คือสูงที่สุดในพุกามครับผม


พอดีเหลือบไปเห็นลุงแกนั่งตบยุงเบื่อแล้วเลยเกรงใจตัดสินใจเดินทางกลับที่พักลุงเค้าจะได้กลับบ้านไปหาครอบครัวซะที เย็นนี้เลยกินข้าวกันที่โรงแรมครับมีการแสดงหุ่นเชิด คนก็กลัวก็ยังจะเอามาโชว์ T T


หลังจากหลับเป็นตายหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน วันรุ่งขึ้นเราก็ตื่นก่อนฟ้าสางอีกแล้วเพื่อจะไปตามล่าหาพระอาทิตย์ขึ้น เช้านี้ลุงมารออยู่แล้วตอนตี 5 ครึ่งและจะพาไปที่เจดีย์ชเวสันดอว์ครับ (Shwesandaw Pagoda) ที่นี่เป็นที่ที่ฮอตมากสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาดูทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและตก ถ้ามาช้ากว่านี้ไม่มีที่ยืนแน่นอน ถ้าใครจะมาตอนเย็นแนะนำว่าอย่ามาหลังห้าโมงครึ่งครับ (ลุงแนะนำอีกแล้ว)

ยืนรอไปซักพักพระอาทิตย์ก็โผล่มาตอนหกโมงนิดๆและก็กลมอีกแล้ว มากับดวงจริงๆทริปนี้ ขอเตือนคนที่ชอบถ่ายรูปก่อนว่าอย่าพึ่งรีบกลับหลังจากเห็นพระอาทิตย์ขึ้นเพราะเวลาที่เจ๋งจริงๆคือพระอาทิตย์ขึ้นไปสูงกว่านี้อีกหน่อยจนส่องลงมาที่หมอกตามพื้นครับ ฟินมากๆๆๆ


เจดีย์นี้ถ้าจำไม่ผิดชื่อว่า Inn Pagoda ชื่อไทยไม่กล้าแปลกลัวผิด 555

ที่เห็นไกลๆลิบๆสีทองๆก็คือเจดีย์ธรรมะยาซิกานั่นเอง จำกันได้มั้ย

เจดีย์ใหญ่ในรูปนี้ชื่อว่าธรรมะยานจี (Dhammayangyi Temple) เป็นที่ที่เราจะไปเช่นกันครับ เจดีย์นี้ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในพุกามครับ

มองไปทางทิศตะวันตกก็เห็นมีเจดีย์นึงนักท่องเที่ยวยืนเบียดกันเต็มเลยเห็นแล้วก็ดูสนุกดีครับ

ถ่ายรูปกันเป็นที่พอใจแล้วก็เดินทางลงอย่างยากลำบาก บันไดค่อนข้างชันขึ้นลงระวังกันนะครับ


ลงมาเสร็จจะมีวัดมุงหลังคาสังกะสีอยู่อย่าเดินเลย ที่นั่นก็คือพระอึดอัดที่โ่ด่งดัง อึดอัดแค่ไหนดูในรูปเลย

เหมือนเค้าสร้างพระก่อนแล้วก็เอากำแพงมาล้อมพระ นอกจากพระจะอึดอัดแล้วเราก็อึดอัดเหมือนกัน สมัยก่อนที่แพงหรือยังไงต้องสร้างแน่นขนาดนี้


ตามสูตรเดิมครับ กลับโรงแรมกินข้าวอาบน้ำแต่งตัวนอนต่อ วันนี้เราอยู่พุกามต่อนะครับยังไม่เช็คเอาท์ พอ 8.30 ลุงก็มารับตรงเวลาเป๊ะ ลุงบอกจะพาไปดูตลาดใน New Bagan หรือพุกามเมืองใหม่ก็ว่าได้ คล้ายมหาชัยที่พม่าชอบมาอยู่กันเยอะๆ เรื่อง Old กับ New Bagan ก็มีอยู่ว่าคนสมัยก่อนก็สร้างบ้านอาศัยอยู่ใน Old Bagan กันปกติจนวันหนึ่งรัฐบาลก็เห็นว่าควรจะอนุรักษ์เมืองพุกามไว้เพราะมันไม่ใช่แค่แต่ละเจดีย์ที่ทำให้พุกามสวยงามแต่เป็นทั้งเมืองที่ให้ความรู้สึกของความเป็นอุทยานโบราณสถานครับ เลยทำการจัดหาที่อยู่ใหม่ให้ชาวบ้านก็คือ New Bagan นั่นเอง ส่วนลุงก็นับเป็นคนรุ่นหลังแล้วที่อาศัยใน New Bagan โดยพ่อแม่ของลุงอยู่ใน Old Bagan มาก่อน


ตลาดที่ลุงพาไปเป็นตลาดเช้า (New Bagan Morning Market) ที่ชาวบ้านพุกามมาใช้จ่ายกันจริงๆไม่ได้ทำมาล่อนักท่องเที่ยวเลย ของขายผมว่าไม่ค่อยมีอะไรก็เป็นผักสดกับของฝากที่ระลึกที่จะถูกเรียกให้ซื้ออยู่เรื่อย ยังไงก็เก็บภาพบรรยากาศมาให้ชมกันนิดหน่อยครับ

เอาของเทินบนหัวเดินโปรกว่านางแบบซะอีก


พอเดินๆนิดหน่อยก็เดินทางไปต่อกันที่เจดีย์ชเวซิกอง (Shwezigon Pagoda) มหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งที่ 2 ของเรา เจดีย์นี้ใช้ปิดทองเอาครับ สวยงามมากๆ วัดนี้บอกจริงๆว่าเหมือนอยู่บ้านเรามาก คนไทยพระไทยมาแสวงบุญกันเยอะเลยครับ

ขาเดินออกจากวัดก็เห็นคนมุงป้าเสื้อเหลืองกันเพียบ ที่แท้ซื้อหวยกันอยู่นี่เอง วันนี้รวย

หลังจากนี้ลุงคนขับก็พาแวะไปเรื่อยตามวัดเล็กๆน้อยๆขออนุญาตข้ามไปครับ ที่ต่อมาที่คิดว่าสวยและน่ามามากก็คือตรงนี้เลย เป็นที่โล่งๆที่มีเจดีย์เล็กๆเยอะมาก แต่ที่ผมชอบไม่ใช่ตรงเจดีย์แต่เป็นที่เค้ามีรถม้ารับจ้างมาจอดแวะตลอด ได้บรรยากาศเมืองเก่าฝุดๆเลย ถ้าอยากไปให้มองหา Khaymingha บน Google maps ครับ https://goo.gl/maps/swVDTtdWb6z

วัดที่สำคัญต่อมาคือวัดอนันดา (Ananda Temple) ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่สวยที่สุดในพุกามครับ แต่เป็นโชคดีของผมมาถึงล้อมยอดเจดีย์ซ่อมอีกละ

ด้านในวัดก็ซ่อมครับ แผ่นดินไหวรุนแรงทำเอาเสียหายหมด เหลือพระพุทธรูปองค์นี้พอมองเห็นได้ชัดเจน วัดที่นี่คล้ายกันเกือบทุกที่โดยจะมีพระพุทธรูปอยู่ 4 ด้านรอบเจดีย์เลยครับ พระที่วัดอนันดามีจุดเด่นคือถ้าดูที่หน้าประตูพระจะยิ้มแฉ่งแต่พอเดินๆเข้ามาเท่านั้นพระจะเบะปากหน้าบึ้งเลย อันนี้ฟังมาจากที่นี่หมอชิตตอนที่มีอาจารย์เผ่าทองเป็นแขกรับเชิญ


และแล้ววินาทีแห่งความพ่ายแพ้ ทุกคนเหนื่อยกันมากเพราะอากาศโหดร้ายมาก วันนั้น 45 องศาเซลเซียสเลยขอลุงคนขับว่าไปกินข้าวและขอกลับไปนอนเอาแอร์ที่โรงแรมก่อนจนแดดเริ่มร่มๆละกัน


หลังจากอาบน้ำแก้ร้อนกับนอนพักไปเราก็ออกมาอีกตอน 4 โมงครึ่งโดยที่ลุงพาไปต่อที่เจดีย์ธรรมะยานจี (Dhammayangyi Pagoda) ที่เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในพุกาม อันเดียวกับที่เรามองเห็นจากเจดีย์เมื่อเช้าวันนี้นี่เอง ยอดหักลงมาทำให้ดูเหมือนปีรามิดพอดิบพอดีเลย

เจดีย์นี้บอกเลยครับถ้าไม่ใช่ตอนเช้าหรือตอนบ่ายแก่ๆไม่ต้องไปเพราะว่าทีเด็ดเค้าอยู่ตรงที่เวลาแสงแดดส่องผ่านประตูหน้าต่างเข้ามาจนเห็นเป็นลำแสงแบบในรูปนี่แหละครับ ตอนเดินเข้าไปทีแรกเหมือนได้เข้าไปในสวนสนุกของคนชอบถ่ายรูปเลย ตื่นตาตื่นใจไปหมด

ไฟติดแล้วบอกลุงพาไปที่ต่อไปเลยเจดีย์สุลามณี (Sulamani Pagoda) จุดเด่นของที่นี่คือภาพวาดฝาผนังที่อยู่รอบๆกำแพงด้านในครับ

ต่อไปเป็นที่สุดท้ายของพุกามแล้วที่เราจะไปคิดแล้วใจหาย ถ้ามีโอกาสจะกลับมาอีกให้ได้เลยครับ (พึ่งนึกได้ว่างานนี้ยังไม่ได้ถ่ายรูปบอลลูนตอนเช้าเลย) ที่สุดท้ายวันนี้ลุงพามาถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกแต่คราวนี้เราไม่ได้ไปปีนเจดีย์กันแต่เป็นที่ลับที่เป็นเนินเล็กนอกเมือง เป็นจุดที่เห็นเจดีย์เยอะแยะสวยมากเลยครับ มีเวลาแวะไปดูได้เลยครับhttps://goo.gl/maps/bx6emeBWDA62

ถ่ายเท่าไหร่ก็ไม่เต็มอิ่มเลย พุกามเป็นเมืองที่ทำให้ตื่นเต้นจริงๆแถมท้องฟ้ายังเปลี่ยนสีไปทุกๆนาทีอีกด้วย เสียดายที่ฝุ่นเยอะไปมากทำให้อะไรๆก็มัวๆไปนิด ไว้คราวหน้ามาแก้ตัวใหม่ไว้จะลองหน้าฝนเผื่อฝุ่นน้อยกว่านี้

 

พะโค (Bago)

เช้าวันรุ่งขึ้นเราก็ต้องรีบออกกันไปขึ้นเครื่องบินเพื่อไปต่อครับ ตอนได้ตั๋วก็งงๆว่าทำไมไม่มีบอกเลขที่นั่ง เดินไปถามเค้าก็บอกว่า free-seating หรือเลือกนั่งที่นั่งเองตามอัธยาศัย นั่งที่คนขับละกัน รถบัสนี้ไปเครื่องบินหรือไปหัวลำโพงครับ รสร่วมสีเขียวตีนผีหรือเปล่า

เครื่องบินลงถึงย่างกุ้ง (Yangon) เวลาประมาณเที่ยงครับ ออกมาก็เจอกับคนขับทำความรู้จักกันซื้อข้าวแล้วขึ้นรถไปต่อที่พะโค (Bago) แบบไม่ต้องหยุดพักเลย นั่งรถยาวๆมาประมาณสองชั่วโมงเราก็เข้าสู่พะโคแล้ว ไหนๆก็มาแล้วเลยแวะกันตามทางนิดหน่อย


และตรงนี้ก็คือพระธาตุมุเตา (Shwemawdaw Pagoda) อีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่าครับ ตรงนี้ได้แค่ไหว้ด้านนอกเพราะต้องทำเวลากันนิดนึง เจดีย์นี้เป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพม่าแล้วครับ เคยพังลงมาจากแผ่นดินไหวแต่ก็ได้ซ่อมแซมเรื่อยมา

ตรงนี้เป็นแบบจำลองพระราชวังกัมโพชธานีของพระเจ้าบุเรงนอง ผู้ชนะสิบทิศ (King Bayint Naung) นั่นเอง พระราชวังของจริงถูกเผาโดยกองทัพยะไข่จนเหลือแค่เสาไม้สักในสมัยของพระเจ้านันทบุเรง (King Nanda) อารมณ์เดียวกับที่มัณฑะเลย์ครับ ไม่ได้อารมณ์ความเก่าเลยซักนิดแต่ก็มาดูให้เห็นซักครั้งในชีวิตครับ

ต่อไปก็เลยไปที่ Hintha Gon Paya เป็นวัดที่มองเห็นพระธาตุมุเตามุมสูงครับ

ก่อนกลับได้ยินเสียงดนตรีดังมากฟังดูบันเทิงครื้นเครงเลยแอบไปชะโงกหน้าดูเหมือนเค้ารำแก้บนกันอยู่ ใครรู้ว่าเค้าทำไรกันแชร์ได้นะครับ 555


จากตรงนี้นั่งรถต่อไปอีกนะครับยังไม่ถึงเขาที่จะขึ้น ระหว่างทางต้องข้ามแม่น้ำสะโตงที่พระนเรศวรข้ามตอนก่อนประกาศเอกราชด้วย นั่งรถมาอีกสองชั่วโมงก็มาถึงจุดขึ้นรถบรรทุกหรือที่คนไทยเรียกว่ารถขนหมู ค่ารถขึ้นลงขาละ 2,500 Kyats ครับแต่ตอนผมไปรถเต็มคนขับเลยแนะนำว่านั่งหน้าได้แต่จ่ายคนละ 5,000 ดูแล้วนั่งสบายกว่าและน่าจะตื่นเต้นกว่าเลยจัดไปสมใจ ความรู้สึกเหมือนนั่งรถไฟเหาะนิดๆ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง

พอถึงบนเขาแล้วอากาศดีมากๆครับ เย็นสบายมากๆเราเลยเดินไปที่โรงแรมเพื่อเช็คอินก่อนเลย โรงแรมวันนี้คือ Mountain Top Hotel แค่วิวจากโรงแรมก็ฟินแล้ว พนักงานและชาวบ้านหลายคนที่นี่พูดไทยได้ชัดเลยครับ (ชัดกว่าแถวบ้านแน่นอน) พี่ๆช่วยยกของมั้ยครับมาเป็นระยะๆ สงสัยเป็นเพราะคนไทยมากันเยอะ

พอเก็บข้าวของเสร็จล้างหน้าล้างตานั่งพักพอหายเหนื่อย เราก็ออกไปเดินขึ้นพระธาตุอินแขวนกันเลย ชื่อนี้ไม่รู้ใครตั้งแต่ภาษาพม่าคือไจทีโยครับ (Kyaikhtiyo Pagoda หรือ Golden Rock Pagoda) ตอนแรกอ่านยังไงก็ไม่ได้ บอกคนขับรถว่าจะไปเขยกทีโยเค้าก็งง พอรู้แล้วอย่างอายเลย


ระหว่างทางขึ้นก็มีเมนูกูรเมท์ Smoked chicken ไก่รมควันธูป! ใครกินมาแล้วช่วยบอกรสชาติหน่อยถ้ายังมีชีวิตอยู่

คนล้นหลามมากครับที่นี่ทั้งไทยและพม่ามากันมากมายเห็นแล้วคิดถึงบ้านขึ้นมาเลย ขอเสียงคนสมุทรสาครหน่อย

ดูแล้วแถวนี้มีก้อนหินวางๆเหมือนจะตกอยู่หลายก้อน หินไหนตั้งอยู่หมิ่นๆเค้าก็สร้างเจดีย์ทับกันหมดเลย

พอมาดูใกล้ๆแล้วใหญ่โตกว่าที่คิดไว้มากเลยครับมหัศจรรย์จริงๆธรรมชาติ ศรัทธาของคนก็มากมายเอาทองมาปิดกันไม่ขาดสายเลย ผู้หญิงปิดไม่ได้เหมือนเดิมครับ หวังว่าวันนึงเค้าจะเปิดกว้างกว่านี้ ตอนนี้ประตูเปิดแคบๆเบียดกันมาก (???)

พอพระอาทิตย์ลับไปแล้ววัดเค้าก็เปิดไฟที่หินทำให้สวยไปอีกแบบ

รูปนี้ไฟไหม้หมดแล้วครับกระถางธูปตรงนี้คนมากันมากจริงๆ เท่าที่เห็นคือคนพม่าเค้าเหมือนมากางเต๊นท์นอนบนวัดกันเลย บางคนก็มีแค่เสื่อกับผ้าห่ม สงสัยมีสวดมนตร์ข้ามคืนกัน ศรัทธาแรงกล้า ที่แรงกล้ากว่าศรัทธาก็พยาธิตามพื้นนี่แหละ เดินเท้าเปล่ามาคั๊นคัน


วันต่อมาก็ไม่พ้นต้องตื่นตี 5 กันอีกเพราะพนักงานโรงแรมบอกมีใส่บาตรกัน มีทั้งพระสงฆ์และพระฤาษี สะดวกใส่อะไรก็ได้เงินหรืออาหาร แต่ไม่ค่อยอยากใส่เงินเพราะพระที่นี่ชอบขอเงิน


ไหนๆตื่นแล้วไม่พลาดจะถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น เดินลึกเข้าไปในวัดก็จะได้เห็นภาพด้านหลังเขาที่เป็นอาคารเหมือนที่พัก เป็นภาพมองออกไปเป็นสันเขาและมีวัดที่ยอดสวยดีครับแต่ขยะเยอะแยะไปหมดน่าเสียดาย

ตอนเช้ารูปอินแขวนไม่ลงให้ดูซ้ำนะครับเพราะเมื่อคืนสวยกว่าเยอะ หลังจากเดินกลับไปที่โรงแรมแล้วก็เก็บของอาบน้ำกินข้าวกันก่อนนั่งรถลงเขากันครับ

 

ย่างกุ้ง (Yangon)

พอลงมาแล้วคนขับประจำตัวเราก็มารออยู่แล้วพร้อมขับกลับไปย่างกุ้งกันแล้ว หลังจากหลับบนรถตื่นมาอีกทีก็ถึงชานเมืองย่างกุ้งแล้วก็ทำการเช็คอินกันก่อนเลยที่ Chatrium Hotel Royal Lake Yangon ห้องที่นอนเห็นเจดีย์ชเวดากองด้วยครับ

เช็คอินเรียบร้อยเราก็ไปต่อกันเลยที่ที่คุณก็รู้ว่าต้องไป เทพทันใจนั่นเอง เทพทันใจอยู่ที่วัดโบทาทาว (Botahtaung Pagoda) เป็นเจดีย์ที่ประดิษฐานพระบรมเกศาธาตุที่ด้านในสวยมากเช่นกันครับ

สบายใจกันแล้วก็เลยไปที่ทะเลสาบกันดอจี (Kandawgyi Lake) เพื่อไปรอดูเจดีย์ชเวดากอง (Shwedagon Pagoda) ตอนพระอาทิตย์ตกกัน

ยืนๆนั่งๆไปซักพักพระอาทิตย์ก็เริ่มลงมาต่ำแล้วก็เริ่มเก็บภาพกันเลย

คืนนี้พอก่อนพรุ่งนี้เราก็จะไปลุยชเวดากองแบบใกล้ๆเลยครับ


วันสุดท้ายแล้วที่จะอยู่ในพม่า ว่าแล้วยังไม่อยากกลับเลยเพราะยังมีหลายที่ที่ไม่ได้ไป เริ่มต้นวันนี้ด้วยมหาเจดีย์ชเวดากองกันเลย ว่าแต่ทางขึ้นมีลิฟท์ให้ด้วยสำหรับคนนั่งรถเข็น

ภาพแรกที่เห็นมันแบบพูดไม่ออก คือทองมากๆ ทองแล้วทองอีก ทองไม่มีพ่อ สะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามเช้าแล้วทำให้ยิ่งสวยเข้าไปอีก โชคดีจริงๆที่ได้มาเห็น แล้วที่โหดกว่านั้นก็คือทองตรงนี้ไม่ใช่ทองคำเปลวมาปิดนะครับแต่เป็นทองแผ่นๆหนาๆเอาตะปูมาตอกลงไปเลย ถ้าปิดทองเรียก Gold leaf แต่อันนี้ใช้ Gold plate

รอบๆเจดีย์ก็จะมีกล้องส่องทางไกลให้ส่องดูอัญมัณียอดเจดีย์กันผมส่องแล้วก็ไม่ค่อยเห็นแต่ไม่ต้องห่วงเค้ามีรูปติดไว้ให้ดูครับ

การที่จะถ่ายภาพมาให้เห็นถึงขนาดที่ใหญ่จริงนั้นยากมาก โชคดีที่เค้าอนุญาตให้พระสงฆ์ขึ้นไปเดินด้านบนได้ เทียบสเกลกันชัดๆไปเลย ดูรูปนี้น่าจะเห็นว่าทองที่พระเจดีย์เป็นแผ่นๆและมีตะปูยึดรอบด้านเลย

และแล้วทริปนี้ก็จบลงที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองพม่าแห่งสุดท้าย รูปยังอีกนิดหน่อยด้านล่างให้ดูเพิ่ม นอกจากเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่แล้วผู้คนต่างๆก็เป็นส่วนประกอบสำคัญให้การเดินทางครั้งนี้เป็นที่น่าจดจำ



ดู 64 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page