top of page
  • รูปภาพนักเขียนOpp

พาเที่ยว Ninh Binh - Hanoi เที่ยวเวียดนาม 3 วัน 2 คืน

อัปเดตเมื่อ 15 เม.ย. 2566


เวียดนาม นินห์บินห์ ฮานอย

เดือนที่เดินทาง - มิถุนายน 2022


เคยได้ยินแต่คนอื่นเล่าให้ฟังมาตลอดว่าไปเที่ยวเวียดนามน่ะดี อาหารอร่อย ธรรมชาติสวยงาม วันนี้มีโอกาสได้ไปเองแล้วเป็นครั้งแรกเลยอยากเอาประสบการณ์ส่วนตัวมาแชร์ให้ใครที่กำลังพิจารณาช่วยประกอบการตัดสิน


ไปเที่ยวรอบนี้เราลางานแค่สองวันเท่านั้นใช้เวลาทั้งหมด 3 วัน 2 คืนที่จังหวัดนินห์บินห์และฮานอย บอกเลยว่าเป็นประสบการณ์ที่ผสมผสานทั้งความสนุกและความลำบากไปจนถึงความรำคาญที่มีมาให้เจอเป็นระยะ แล้วอีกอย่างคือถ้ามาหน้าร้อนนี่อากาศมันร้อนจริงๆนะ ลมก็ไม่มีหายใจหายคอลำบากเล็กน้อย แต่ยังไงก็แล้วแต่เวียดนามยังเป็นที่ที่ควรค่าแก่การไปเยี่ยมเยือนแน่นอน

  • นินห์บินห์ (Ninh Binh) 2 วัน 1 คืน

  • ฮานอย (Hanoi) 2 วัน 1 คืน


 

นินห์บินห์ (Ninh Binh)

การหาข้อมูลที่เที่ยวใกล้ๆฮานอยส่วนใหญ่ก็จะมีคำแนะนำเยอะแยะให้ไปฮาลองเบย์แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบภูเขามากกว่าเลยหาไปเรื่อยๆจนมาเจอนินห์บินห์ที่คนไทยหลายคนเรียกว่าฮาลองบกเพราะด้วยความที่มีภูเขาหินปูนสูงชันเหมือนที่ฮาลองเบย์แต่ว่าไม่ได้อยู่ในน้ำนั่นเอง


การเดินทางมาก็ไม่ยากเย็น สามารถนั่งเครื่องบินมาลงที่ฮานอยได้เลยและหลังจากนั้นก็เดินทางมาที่บริษัทรถตู้ที่จองออนไลน์มาล่วงหน้าได้เลยที่เว็บนี้ LINK ราคาต่อคนแค่ 177,600 เวียดนามดองหรือประมาณ 250 บาทเท่านั้น


พอลงเครื่องบินปั๊บก็ไปขึ้นรถก่อนเลยที่จุดนี้ https://goo.gl/maps/M4EhRVqvMveXTfK78 นั่งรอเล็กน้อยคนขับก็มาเรียกขึ้นรถ ด้านในเบาะกว้างใหญ่นั่งสบาย ระยะเวลาเดินทางแค่ 1 ชั่วโมงนิดๆก็มาถึง Ninh Binh แล้ว รถตู้วาร์ปเข้าไฮเปอร์สเปซ


จากตรงนี้เราได้ฝากโรงแรมให้ช่วยจองรถแท๊กซี่ให้แล้วไม่ต้องกลัวหลง ส่วนโรงแรมเรานั้นชื่อ Lalita Boutique Hotel อยู่ออกมาจากเมือง Tam Coc ที่เป็นเมืองใน Ninh Binh นิดหน่อย ห้องดีมากเกินราคา ขอตินิดเดียวว่าเตียงแข็งมากสำหรับคนนอนยาก ที่โรงแรมมีบริการให้เช่ารถมอเตอร์ไซค์เกียร์ออโต้ด้วยวันละ 120,000 ดอง พนักงานบอกว่าพี่ไม่ต้องใช้ใบขับขี่หรอกตำรวจเห็นหน้าเค้าก็คิดว่าคนเวียดนามไม่ต้องกลัวโดนจับถ้าไม่ทำผิดกฎหมาย


ชีวิตเคยแค่ปั่นจักรยานเลยซ้อมขี่ไปกินข้าวในตัวเมือง Tam Coc สร้างความมั่นใจนิดนึง คนที่นี่ใจดีมากๆครับ ไปนั่งกินอยู่โต๊ะเดียวก็มานั่งคุยด้วย ก่อนออกเอากล้วยน้ำว้าที่ปลูกหลังร้านให้สองลูก


 

Hoa Lu Ancient Capital

กินข้าวแล้วขี่รถเป็นแล้วที่เที่ยวแรกเราจะไปกันที่ Hoa Lu Ancient Capital หรือเมืองหลวงเก่าเมืองแรกของอาณาจักร์เวียดนามในอดีตชื่อน่าจะออกเสียงว่า หั่วลือ เสียงวรรณยุกต์ในภาษาเวียดนามเค้ามีมากกว่าเราเสียงนึงทำให้บางทีออกเสียงค่อนข้างเพี้ยน เอาเป็นว่าพูดแล้วเข้าใจก็พอละกัน


ขี่รถมาประมาณครึ่งชั่วโมงตาแห้งพอสมควรก็มาถึงแล้ว ก่อนจะถึงทางเข้าจะมีคนวิ่งลงมาบนถนนสองสามคนจนผมก็ตกใจนึกว่าจะวิ่งมาชนรถเราซะแล้ว จริงๆคือวิ่งมาโบกให้เอาไปรถไปจอดที่เค้า แล้วพอมีหลายเจ้าก็ต้องวิ่งมาแย่งกันใหญ่ใจหายใจคว่ำ ไม่ต้องไปจอดตามครับเพราะหน้าประตูมีที่จอดใกล้ที่สุด

อีกอย่างที่ต้องระวังคือพวกที่มาคอยหลอกนักท่องเที่ยวเพราะโดนมากับตัว พอจอดรถเสร็จก็จะพากันขี่มอเตอร์ไซค์มาบอกว่าต้องนั่งรถเที่ยวด้านใน พอถามว่าเดินดูไม่ได้หรอก็บอกว่าเดินไม่ได้ต้องนั่งมอเตอร์ไซค์นำเที่ยว ขอคันละแสน หรือประมาณ 150 บาทบอกว่าพาไปดูสิบจุด คือผมก็เอะใจว่ามันแปลกๆแต่ว่าพวกนี้จะตื้อกันมากเหมือนเราใจไม่แข็งพอ ต่อเหลือสองคนแสนห้าเลยไปตกลง



พอเข้าไปข้างในก็เห็นเลยว่าโดนเข้าแล้วเพราะคนเดินกันเป็นส่วนใหญ่ ด้านในเป็นที่โล่งๆมีอาคารเก่าอยู่ในกำแพงสองจุด คนขับก็พาขับเลยไปออกด้านหลังกำแพงเพื่อไปที่อื่นไกลพอสมควรเลยคิดว่าคงไม่เป็นไรถ้ามันช่วยประหยัดเวลาไม่ต้องเดินไกลๆ พอไปถึงที่แรกปั๊บก็งงๆเล็กน้อยเป็นวัดเล็กๆ คนขับก็พยายามอธิบายที่มาที่แต่แบบลุงแกพูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลยพยายามพูดภาษาเวียดนามซ้ำๆหลายรอบราวกับว่าเราจะเข้าใจลุงแกขึ้นมาในที่สุด สุดท้ายเลยได้เดินๆดูต้นบอนไซรอบๆศาลเจ้า

พอดูเสร็จแล้วลุงคนขับก็พาขับไปดูอีกที่บอกว่าเป็นสุสานของจักรพรรดิ ลงไปทำท่าถ่ายรูปนิดหน่อยแล้วก็ขอไปต่อเพราะดูยังไงก็เป็นของที่เพิ่งสร้างขึ้นมาหน้าตาเหมือนฮวงซุ้ยของชาวบ้านที่เห็นได้ทั่วไปแถวนี้


ในที่สุดลุงแกก็พากลับมาดูที่ศาลเจ้าหลักที่เอาไว้กราบไหว้จักรพรรดิ ด้านในก็จะเป็นศาลเจ้าที่มีสถาปัตยกรรมคล้ายๆของประเทศจีนผสมผสานกับรูปแบบของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลุงยังคงพยายามอธิบายเป็นภาษาเวียดนามต่อไป กลับมาหาข้อมูลเองที่บ้านสรุปได้ว่าศาลเจ้านี้สักการะจักรพรรดิ Dinh Tien Hoang จักรพรรดิพระองค์แรกของเวียดนามภาคเหนือที่รวบรวมประเทศจากการรบชนะขุนศึกต่างๆ


อยู่ติดกันกับศาลเจ้านี้เป็นอีกศาลเจ้านึงเข้าใจว่าไว้กราบไหว้โอรส 3 พระองค์ของจักรพรรดิ รายละเอียดไม่ค่อยแน่ใจเพราะไกด์เราไม่สามารถสื่อสารกับเราได้

หลังจากลุงขับพาไปดูวัดอื่นๆอีกสองสามที่ที่ผมคิดว่ามีความหมายอะไรที่ลุงไม่สามารถสื่อสารได้ก็พาแวะที่ร้านน้ำก่อนจะปล่อยเรากลับ แน่นอนต้องช่วยอุดหนุนน้ำดื่มร้านเพื่อนเค้าทั้งที่บอกไปแล้วว่ามีน้ำมาเอง พอมาส่งที่จอดมอเตอร์ไซค์การจ่ายเงินก็เป็นไปอย่างอึดอัดเพราะเราควรจ่ายแค่แสนห้าแต่พอให้แบงค์ 500,000 ไปทำท่าจะไม่ทอนออกท่าทางว่าขอที่เหลือเถอะ แต่ครั้งนี้ผมไม่ยอมแล้วเรียกเอาเงินทอนคืนจนสุดท้ายยอมทอนแค่ 300,000 แล้วเก็บเพิ่มไป 50,000 จากที่ตกลงกัน

ผมเองไม่ได้สนใจเรื่องเงิน 200,000 ดองเท่าไหร่ แต่เจอแบบนี้เข้ามันค่อนข้างเสียความรู้สึกและเสียอารมณ์เอามากๆ ผิดหวังที่พื้นที่ที่ต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวเป็นหลักแต่คนแถวนี้ยังคิดสั้นหวังได้เงินเล็กๆน้อยๆแล้วเสี่ยงทำลายชื่อเสียงของท้องถิ่นแบบนี้ แล้วยิ่งเป็นช่วงที่ pandemic เพิ่งผ่อนคลายลงและนักท่องเที่ยวน้อยๆแบบนี้

 

Trang An Boat Tour

ลมที่พัดโบกบนใบหน้าช่วยสลัดความรู้สึกแย่ๆทิ้งไป ขี่รถแว๊นไปที่ขึ้นเรือทัวร์ที่จ่างอาน (Trang An) กิจกรรมนี้ถ้ามาที่นินห์บินห์แล้วห้ามพลาดมากๆเพราะว่าความสวยงามมันยากจะอธิบาย พายเรือไปตามแม่น้ำที่ด้านข้างเป็นยอดเขาหินปูนสูงตลอดทาง ความเขียวขจีของธรรมชาติทำให้รู้สึกดีถึงแม้ว่าอากาศจะร้อนมากก็ตาม สถานที่มีการจัดการที่ดีมากมีที่จอดรถชัดเจนไม่ต้องห่วงว่าจะมีชาวบ้านมาสวมรอย พอจอดรถแล้วก็เดินไปซื้อตั๋วได้เลย

  • ค่าตั๋วคนละ 250,000 ดอง หรือประมาณ 380 บาท

  • เรือ 1 ลำต่อนักท่องเที่ยว 4 คน ถ้าคนไม่ครบเรือไม่ออกยกเว้นเราจะยอมจ่ายค่าทัวร์ให้กับที่ว่าง

  • ทัวร์นี้มีทั้งหมด 3 เส้นทางโดยจุดขึ้นเรือจะมีป้ายอธิบายแต่ละเส้นทางก่อนเราจะตัดสินใจ

วันนี้เราจะไปขึ้นเส้นทางที่ 2 กันเพราะระยะเวลากำลังดีไม่นานและสั้นเกินไปที่ประมาณ 2 ชั่วโมงมาถึงที่ขึ้นเรือก็บอกพนักงานได้เลยว่าจะไปเส้นทางไหน ถ้าทางที่เลือกคนน้อยอาจจะต้องรอกันนิดนึงให้มีคนอื่นมาเติมจนเรือเต็มประมาณ 10 - 15 นาทีเท่านั้น มองๆไปแล้วคนพายอายุก็ไม่น้อยแล้วแต่ยังคงแข็งแรงพายเรือกันเป็นชั่วโมงแถมคนนั่งเต็มลำ

เรามาถึงตรงนี้กันแล้วนี่ก็สี่โมงเย็นเข้าไปแล้วอากาศเลยหายร้อนขึ้นมานิดนึงแล้วมาตรงนี้ชิวๆไม่ต้องออกแรงแน่นอน บรรยากาศดีมากๆ น้ำที่ในรูปดูเขียวๆนี่เป็นเพราะแสงสะท้อนจากต้นไม้แนวเขาเหนือน้ำกับสาหร่ายในน้ำ น้ำจริงๆใสสะอาดมากจุ่มน้ำแล้วรู้สึกดี แต่อย่าจุ่มนานเพราะมันราน้ำสงสารป้าคนพายเค้าเหนื่อยแย่

ตอนแรกก็คิดว่าถ่ายภาพนี่ไม่อยากได้เรือชาวบ้านเลยแต่พอมาถึงที่จริงแล้วมีเรือกับคนนั่งเล็กๆมันทำให้เห็นจริงๆถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติแล้วเสื้อชูชีพสีส้มมันตัดกับสีเขียวกันอย่างลงตัว ทีนี้ในภาพเลยมีเรือทุกภาพเลย 555

ระหว่างทางที่นั่งไปก็จะการพายเรือลอดถ้ำเป็นระยะๆ บางทีป้าคนพายก็ต้องคอยตะโกนบอกนักท่องเที่ยวว่าก้มหัวหน่อยเดี๋ยวโขกเพดานถ้ำนะไอหนู คือถ้ำมันเตี้ยจริงๆนั่งอยู่ก็หงายได้ รูเล็กๆเหมือนในรูปนี้เลย ตลอดทางเค้าก็จะคุยกับนักท่องเที่ยวชาวเวียดนามที่มาร่วมเรือด้วยดูสนุกสนาน เสียดายเราฟังเค้าไม่ออก


แม่น้ำสายนี้พาเราลอดถ้ำมาเรื่อยๆบางจุดมีเขาล้อมรอบทั้งหมดเหมือนเป็นที่ลับๆแล้วก็จะมีวัดเก่าๆตั้งอยู่ดูแล้วเหมือนหนังจีนที่เคยดูตอนเด็กๆที่มีวัดอยู่ในหุบเขาลึกลับ


นั่งชื่นชมธรรมชาติไปซักพักหันมาเห็นว่าในเรือเค้ามีพายวางอยู่ด้วยหรือเนี่ย เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมสนุกพายเรือด้วย คือป้าคนพายเค้าพายไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแรงไม่ตกเลยแต่เราก็อยากช่วยเค้านิดนึงเลยคว้ามาพายเวลาไม่ได้ถ่ายภาพอะไร พายมาซักพักเค้าก็ส่งให้ลงไปเดินดูวัดนี้นิดหน่อยก่อนกลับ ตรงนี้ผมว่าวิวสวยมากๆ


ขากลับก็ได้ถ่ายรูปต่อ ขานี้เพื่อนร่วมทางเค้าให้เราไปนั่งหน้าบ้างจะได้ถ่ายรูปถนัดๆ ใจดีจังคนแถวนี้ มาเที่ยวที่นี่ผมบอกจริงๆว่าสนุกมากจนลืมความนอยก่อนหน้านี้ไปเลย วิวสวยตลอดทาง ภูเขาสลับซับซ้อนเป็นตัวช่วยให้ผมถ่ายภาพออกมาให้เห็นถึงความลึกของภาพ เขาที่ใกล้ก็จะสีสดกว่าเขาที่อยู่ด้านหลังเพิ่มความเป็นสามมิติของภาพได้ดี ความสวยงามอีกอย่างคือลายหินที่คมชัดตัดกับความขยุกขยุยของพุ่มไม้ต้นไม้บนหน้าผาหินปูน

กว่าจะกลับมาจากพายเรือก็เริ่มค่ำละแต่ใจยังสู้ขี่รถจะไปดูจุดชมวิวบนยอดเขาต่อ แต่พาขับมาถึงแล้วได้เห็นบันไดทางขึ้นที่ขดไปขดมาแล้วขึ้นไปสูงมาก วกรถกลับไปหาข้าวกินทันที 555

 

จุดชมวิว Hang Mua

หลังจากที่พ่ายแพ้ต่อยอดเขาเย็นวันก่อน วันนี้ตอนเช้าเรากลับมาเอาคืนก่อนเดินทางกลับฮานอย ทางเดินขึ้นนี้มีทั้งหมด 500 ขั้นบันไดด้วยกัน แล้วไม่ใช่บันไดแบบสะพานลอยบ้านเราที่ขั้นเล็ก ขั้นนึงสูงเกินครึ่งหน้าแข้งอีก แต่มาแล้วจะพลาดไม่ได้! แต่ถ้าเดินขึ้นมาแล้วระหว่างทางเค้ามีร้านน้ำร้านขนมอยู่กลางทางไว้นั่งพักได้แล้วระหว่างทางจะนั่งพักตรงไหนก็ได้ ค่อยๆเดินไปเดี๋ยวก็ถึง ทุกคนควรพกน้ำดื่มมาด้วยสำหรับเติมความชุ่มชื้นให้กับร่างกายระหว่างทางนะครับ

ตรงตีนเขานี่เป็นรีสอร์ทหน้าตาขำขันอยู่ด้วย เดินเข้ามามีเห็ดยักษ์และรูปปั้นฮาๆอีกมากมาย ใครอยากมาเดินขึ้นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นสามารถทำได้โดยการนอนค้างที่นี่เพราะทางเข้าเค้าเปิดตอนหกโมงเช้า แต่ส่วนตัวผมคิดว่าไม่ควรเพราะทิศที่สวยสุดหันไปทางทิศตะวันตกจ้า

คนเวียดนามเค้าฟิตมากจริงๆ อากาศก็ร้อนลมไม่มีเดินเฉยๆก็จะเป็นลมละ แต่หญิงสาวชาวเวียดนี่เค้าแต่งตัวเต็มมาเดินไปถ่ายรูปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เดินมาเกือบครึ่งทางภรรยาก็เกมส์ซะแล้วขอเดินลงไปนั่งพักข้างล่าง หลังจากถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเป็นพิธี 555 ก็ตัดสินใจไปต่อให้ถึงยอด เสียเงินลางานมาแล้วอย่ายอม


ตรงกลางจะมีทางแยกอยู่และผมเลือกเดินไปทางซ้ายเพราะไปดูวิวหุบเขาและนาข้าวลอยน้ำ ใครเดินผิดทางก็เหนื่อยเพิ่มหน่อย ทางแยกคือรูปด้านล่างให้เดินไปทางเดียวกับร้านค้า เดินพลาดนั่นก็เป็นร้อยขั้นอยู่นะครับนั่น

เฮือกสุดท้ายแล้วความหน้ามืดเริ่มมา พอถึงยอดเท่านั้นรีบหาที่นั่งก่อนเลย พอดีขึ้นแล้วก็ลุกไปดูวิว โหอลังการมาก เป็นแนวเขาล้อมรอบแม่น้ำกับนาข้าวที่ชาวนาปลูกอยู่ในแม่น้ำส่วนที่ตื้นพอ ปลูกกันแบบนี้น้ำไม่ต้องไปสูบมาจากที่อื่นเลยเจ๋งจริงๆ พี่เจ้าของร้านอาหารวันก่อนเค้าบอกก่อนละว่าชาวนาเค้าเริ่มเกี่ยวข้าวไปบ้างแล้วเรามาช้าไปสี่ห้าวัน ก่อนหน้านี้ทุ่งนี้ตรงนี้เป็นสีเหลืองทองหมดเลย ไม่เป็นไรแค่นี้ก็สวยแล้ว ถ้ามองไปข้างหลังก็จะเห็นขั้นบันไดที่เดินขึ้นมา วิวสวยเหมือนกันแต่ว่ามลพิษเยอะไปหน่อยมองไปเป็นสีเทาๆหมดเลย

นั่งพักกินน้ำนิดหน่อยก็เดินลงกันเถอะ ขาลงค่อยๆเดินเข่าจะได้ไม่เสื่อมไวนะ อายุไม่น้อยต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติ

ส่วนด้านล่างเขาเค้าก็มีนาบัวให้คนมาถ่ายรูปอีกด้วย ถ้าใครมา Ninh Binh ช่วงนี้ก็จะได้ที่เที่ยวเพิ่มเป็นดอกบัวหลวงบานเต็มทุ่งสวยงามอีกด้วย



คืนก่อนก็กะว่าจะไปนั่งเรือเที่ยวอีกอันที่ Tam Coc แต่ว่าใครจะรู้ว่าจะใช้เวลาเยอะขนาดนี้ในการเดินขึ้นเขา ลงมาก็เวลาไม่พอซะแล้วเลยต้องกลับโรงแรมไปอาบน้ำเก็บของเพราะบ่ายนี้เราจะกลับไปฮานอยกัน

 

ฮานอย (Hanoi)

กลับมาถึงฮานอยก็เกือบบ่ายสองเข้าไปแล้วเลยเรียก Grab เพื่อไปโรงแรมทันที โรงแรมที่ฮานอยของเราคือ La Sinfonia del Rey เป็นโรงแรมที่แนะนำให้ทุกคนไปพักเลยถ้าไปฮานอย ห้องพักสะอาดเตียงระดับเทพหลับลืมตื่น โลเคชั่นก็ดีอยู่ตรงข้ามกับทะเลสาบฮว่านเกี๊ยมใกล้ที่เที่ยวมากๆ


เช็คอินแล้วอาบน้ำแล้วนั่งพักให้หายเหนื่อยแล้วก็ออกไปเดินเล่นในย่านเมืองเก่าที่อยู่ข้างๆโรงแรมกันเลย เดินออกมาจากโรงแรมปั๊บก็เห็นร้านค้าเพียบ ต้นไม้ออกลูกเป็นกระเป๋าเป้ก็มา ฟุตบาทที่ฮานอยนี่การได้เดินนี่ถือเป็นกำไรของชีวิตเพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกจับจองด้วยร้านขายของร้านข้าวหรือที่จอดมอเตอร์ไซค์กันเป็นแถบๆ


เดินออกมาจากโรงแรมไม่ทันไรคนปั่นสามล้อนี่เรียกตื้อกันแบบกะได้ทำเมีย ไม่ไปปั่นตามอีก ปล่อยผมไปเถอะ


รถมอเตอร์ไซค์ที่เลื่องลือมีชื่อเสียนี่ได้มาเจอของจริงแล้วมันยิ่งกว่าที่คิดไว้ซะอีกนะครับไฟแดงไฟเขียวนี้ไม่มีความหมายจะเลนซ้ายเลนขวาพี่น้องขับได้หมด การเดินต้องมีสติตลอดเวลามองซ้ายขวาให้ดี ชาวบ้านแถวนี้เค้าก็ชำนาญมากในการเดินหลบหลีกและการเดินอย่างใจแข็ง


ย่านเมืองเก่าตึกรามบ้านช่องที่มีความเก่าความโบราณรวมไปถึงความวุ่นวายความไม่เรียบร้อยที่เป็นเสน่ห์ของย่านนี้ มีร้านค้าร้านอาหารบ้างเป็นชาวบ้านนั่งกินกาแฟคุยกับเพื่อนข้างทางชิวๆ


เดินไปซักพักเราก็กลับไปดูตรงทะเลสาบกันบ้างอุตส่าห์จองโรงแรมใกล้ ในน้ำมีเกาะสองเกาะและมีวัดตั้งอยู่กลางเกาะ ค่าเข้าไม่แพงเลยมาดูหน่อยมีอะไรบ้างนะ สรุปคือไฮไลท์เค้าอยู่ที่ตะพาบยักษ์ที่สตั๊ฟฟไว้สองตัวอยู่ในศาลเจ้า ยักษ์จริงๆไม่เชื่อดูเทียบกับตัวคนได้เลย


วัดก็ไม่มีอะไรเท่าไหร่เดินแป๊บนึงก็ออกมาวนรอบทะเลสาบต่อจนฟ้ามืดเลยไปต่อด้วยการหาอะไรกินในโซนเมืองเก่าอีกที วันนี้จะมาตามหาอาหารทะเลกินตามข้างทางที่นั่งโต๊ะเตี้ยๆ

ร้านนี้เดินผ่านแล้วเห็นหอยถึงกับร้องโห หอยไรตัวใหญ่เบอร์นี้ แถมทำลิ้นห้อยด้วยกินร้านนี้แหละ


กินแล้วก็ต้องนอนเป็นของคู่กัน วันต่อมาก่อนกลับเรามีเวลาช่วงเช้าเลยว่าจะไปหาดูที่เที่ยวอื่นๆอีกนิดหน่อย วิธีการหาที่เที่ยวคือการไปแอบยืนดูโปสการ์ดที่ร้านเค้าวางขายกัน 555

ที่แรกที่ไปคือถนนรถไฟที่เป็นทางแคบๆมีตึกบ้านคนแนบรางรถไฟอย่างใกล้ชิดแบบโผล่หน้าออกมาจากประตูบ้านหน้าแหกแน่นอน ตลอดข้างรางรถไฟจะเป็นร้านกาแฟให้นักท่องเที่ยวมานั่งรอดูรถ ถ้าไม่อยากรอนานให้ศึกษาเวลารถมาไว้ก่อนนะครับ




มีเวลาไม่เยอะไปอีกที่เลยคือวิหารวรรณกรรมหรือ Temple of Literature เป็นเหมือนโรงเรียนวัดที่เอาไว้ศีกษาตำราลัทธิขงจื้อที่มีมาแล้วตั้งเกือบพันปี ด้านในเป็นสวนมีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ช่วยให้หายร้อนขึ้นมาบ้าง คนมาที่นี่ต่างได้ของติดไม้ติดมือเป็นคัมภีร์คำมงคลเขียนเป็นภาษาจีนไว้ให้อุ่นใจ


จบทริปนี้ของเราแล้วกับการมาเวียดนามครั้งแรก โดยส่วนตัวผมคิดว่าเวียดนามมีความเป็นไปได้และมีโอกาสที่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีกว่านี้ได้ถ้ามีการปรับปรุงเพิ่มความสะดวกสบายให้ทั้งกับผู้มาเยือน และคนที่อยู่อาศัยที่นี่ สถานที่สวยงามมีอยู่มากมายอาหารก็อร่อย หวังว่าจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในอนาคตอันใกล้เพราะยังไงก็ต้องกลับไปอีกแน่นอน


เพื่อนๆมีความเห็นยังไงบ้างกับการไปเที่ยวเวียดนามมาแบ่งปันกันได้ ถ้ามีคำแนะนำอะไรน้อมรับเสมอครับ รักกันชอบกันฝากติดตามเพจเฟซบุ้กด้วยนะครับ ขอบคุณครับ


ดู 66 ครั้ง0 ความคิดเห็น