top of page
  • รูปภาพนักเขียนOpp

จางเย่ (Zhangye) ดินแดนที่ดูแล้วเหมือนไม่ได้อยู่บนดาวโลก

อัปเดตเมื่อ 25 ก.ย. 2565


zhangye china

เดือนที่เดินทาง - ตุลาคม 2019


พูดถึงประเทศจีนแล้วคงไม่ได้เป็นสถานที่อันดับหนึ่งในดวงใจของคนหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็นภาพจากสื่อต่างๆที่ยากจะกดไลค์ กลัวความยากลำบากในการสื่อสาร หรือหวั่นใจเรื่องความสะอาดของสถานที่ต่างๆ


การเดินทางไปประเทศจีนครั้งนี้เป็นครั้งแรกของผมเช่นกันและบอกตรงๆว่าเสียวๆอยู่ไม่น้อยแต่นั่งดูรูปกับแฟนมานานเห็นที่สวยๆเยอะแยะเลยตัดสินใจลองดูซักครั้ง การวางแผนนั้นซับซ้อนเพราะอยากไปหลายที่เกินไปแต่สุดท้ายก็ต้องตัดใจเลือกเท่าที่จะไปได้

จางเย่เป็นสถานที่แรกที่ผมกับแฟนเลือกไว้เพราะว่าอยู่ไกลและไปยากที่สุดโดยมีซีอานเป็นศูนย์กลาง และจะใช้เวลาที่นี่ 3 วัน 2 คืน การเดินทางจากสิงคโปร์ที่ที่เราทำงานอยู่ก็คือนั่งเครื่องบินไปปักกิ่งและต่อเครื่องไปที่ซีอานและต้องค้างที่ซีอานก่อนหนึ่งคือเพื่อที่จะเดินทางไปด้วยรถไฟความเร็วสูงในตอนเช้ามืดอีก 7 ชั่วโมงด้วยกัน สถานที่ในใจก็คือ Zhangye Danxia หรือเขาสีรุ้งและ Mati Temple หรือแปลงตรงๆว่าวัดเกือกม้าที่เป็นรูๆเจาะเข้าไปในภูเขา

 

การเดินทาง

ความกลัวอีกอย่างคือเรื่องสายการบิน Air China เพราะชื่อเสียงที่เลื่องลือของความสกปรกของสายการบินจีน แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้ว เครื่องบินก็สะอาดพนักงานทำงานดี คนจีนข้างๆก็ปกติติดแค่ปากเหม็นมาก การทำงานของสนามบินก็ไม่มีปัญหาตอนต่อเครื่อง มีระบบที่ดีคิวไม่ยาวเกินไป พอลงถึงซีอานแล้วแท็กซี่มาออกันเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าจะถูกโกงอะไร


จนถึงตอนนี้รู้สึกค่อนข้างปลอดภัยและทุกอย่างดูมีระบบระเบียบดียกเว้นแต่ต้องใช้ Google Translate กันค่อนข้างเยอะเพราะคนที่นี่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่ความสนุกคือต้องหัดพูดภาษาจีนไว้นิดหน่อยเพื่อความรวดเร็วเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างลุงๆป้าๆเค้าก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไรเรา

การเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงทำให้อะไรๆง่ายขึ้นเยอะมากแถมยังได้ดูวิวข้างทางอีกด้วย ส่วนภาพภายในตู้รถไฟความเร็วสูงของประเทศจีน บอกตรงๆว่าสะอาดและล้ำกว่าที่คิดไว้มากทุกคนนั่งเป็นระเบียบไม่ก่อกวนกัน บางทีก็คิดว่าที่เราเห็นคนจีนที่เป็นข่าวนี่เพราะอยู่ประเทศตัวเองทำไม่ได้หรืออะไรเลยต้องเก็บกดไปทำที่อื่น ส่วนขบวนรถไฟก็แบบในรูปคล้ายที่เคยเห็นที่ญี่ปุ่นแต่จะมีตัวหนังสือโคตรจีนแบบไม่น่ามาอยู่ร่วมกันได้แปะอยู่


ส่วนพอมาถึงแล้วก็จะงกๆเงิ่นๆหน่อยไม่รู้จะไปไหนต่อเพราะอ่านป้ายไม่ออกและฟังไม่รู้เรื่อง แต่ขำที่มีลุงขับรถรับจ้างมากวักมือเรียกอยู่นานอยู่นอกรั้วสถานี คือกลัวจะถูกหลอกก็กลัวแต่ก็ลองคุยด้วย ปรากฎว่าลุงโคตรพร้อมมีแอพแปลภาษาอยู่ในมือเปรียบได้กับวุ้นของโดราเอม่อน เราแค่พูดภาษาไทยหรืออังกฤษเข้าไปแอพก็พูดกลับมาเป็นภาษาจีนให้เลย


เอารูปให้ลุงดูว่าอยากไปไหนบ้างลุงก็แนะนำว่าเวลามันน้อยแล้วเพราะว่ามาถึงก็เกือบสามโมงลุงเลยแนะนำให้ไป Binggou Danxia เย็นวันนี้แล้วค่อยไปจัดที่ที่อยากไปอีกวันนึง เปิดๆ Google ดูว่าสวยมั้ยตรงนั้นเลยตกลงราคากับลุงให้เหมาสามวัน คือจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่แต่มันไม่แพง ต่อนิดหน่อยแต่ลุงตกลงอย่างไวเลยคิดว่าพลาดแล้วน่าจะต่อมากกว่านี้


ส่วนตัวเมืองจางเย่นั้นบอกเลยว่าเหมือนเมืองร้าง ตึกสูงๆเพียบแต่ถนนนี่ไม่ใช่อยู่ในช่วงโควิด 19 ระบาดแต่มันเงียบอยู่แล้ว ในภาพคือลุงคนขับเดินข้ามถนนสิบเลนที่ไม่มีรถวิ่งแม้แต่คันเดียว

 

Binggou Danxia

Binggou Danxia อยู่ห่างจากตัวเมืองจางเย่ไปเกือบชั่วโมง นั่งรถไปแล้วก็ภาวนาว่าอย่าให้ลุงคนขับหลอกไปฆ่าเลยเพราะถนนมันเงียบและเปลี่ยวมากแต่ว่าสองข้างทางมีแต่ภูเขาหินใหญ่โตรูปร่างแปลกๆเหมือนกับหนังเอเลี่ยนของไมเคิล เบย์ก็ว่าได้ พอมาถึงแล้วก็งงๆเล็กน้อยว่านักท่องเที่ยวไปไหนกันหมด คือที่นี่ประเทศจีนที่คนแห่กันไปให้แออัดกันทั่วโลกแต่พอมาถึงถิ่นที่อยู่กลับหายหน้าไปหมด หันไปคุยกับแฟน “จะไปเที่ยวไม่ให้เจอคนจีนต้องเที่ยวเมืองจีน”

binggou danxia
ด้านหน้าอุทยานที่ว่างเปล่าปราศจากนักท่องเที่ยว

ที่นี่บอกได้เลยว่าสวยกว่าในรูปและที่คิดไว้เยอะมากประกอบด้วยความที่ไม่มีคนทำให้สวยกว่าเดิม ลักษณะภูเขาคล้ายที่เคยเห็นในรูปที่ Utah เป็นแท่งๆเรียงๆเยอะๆ ที่เห็นว่ารูปมุมสูงไม่ใช่ว่าผมมีโดรนบินไปถ่ายมาแต่ว่าอุทยานเค้ามีทางเดินบันไดให้พร้อมเดินขึ้นเขาไปได้เลย เดินกันให้ปวดตูดกันเต็มที่ บอกตรงๆว่าโชคดีที่มาที่เวลานี้ที่พระอาทิตย์กำลังตกทำให้แสงสีทองส่องมาที่ภูเขาทำให้รู้สึกหายเหนื่อยจากการนั่งรถไฟ 7 ชั่วโมง

อุทยานจริงๆใหญ่มากและถ้าจะเดินให้หมดเหมือนกับต้องข้ามเขาหลายลูกซึ่งไม่มีทางจะเดินหมดได้ในวันเดียว อีกอย่างก็คือกลัวว่าจะมืดเดินตกบันไดเพราะค่อนข้างชัน และเค้าก็ใกล้เวลาปิดแล้วด้วย พอเดินลงมาถึงสถานีรถรางก็เหลืออยู่คันเดียวพร้อมคนขับ พอมาถึงพี่เค้าก็บ่นๆสงสัยอยากกลับแต่อีสองคนนี้ไม่ยอมลงมาจะปล่อยให้เดินกลับเองก็กลัวจะตายที่นี่

 

วัดเกือกม้า (Mati Temple)

จบคืนแรกที่โรงแรม Danxia Photography International Hotel ซึ่งดีเกินคาดอีกแล้วถึงแม้ว่าการออกแบบจะงงๆแต่ห้องนอนห้องน้ำสะอาด น้ำในห้องน้ำไหลแรงสะใจ ที่สำคัญคืออยู่ใกล้เขาสีรุ้งนิดเดียวเอง ก่อนจบวันนัดกับลุงคนขับไว้แล้วว่าวันต่อมาให้มารับก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเพื่อที่จะไป Mati Temple ช่วงเช้าและไปต่อ Zhangye Danxia หรือเขาสีรุ้งตอนบ่ายนั่นเอง

ตอนที่วางแผนก่อนเดินทางเราก็คิดแค่ว่าจะมาเห็นวัดแบบทิเบตที่สร้างโดยการขุดหน้าผาหินเข้าไปเพราะคิดว่าแปลกพอสมควร แต่สิ่งที่ไม่ได้คาดหวังเลยก็คือจะได้มาเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยมากในบริเวณอุทยานมีเทือกเขาสูงปกคลุมด้วยหิมะที่ดูแล้วคล้ายๆภูเขาในสวิตเซอร์แลนด์ที่เห็นได้ตั้งแต่ป้ายทางเข้าวัดเลยทีเดียว ด้านข้างประตูมีการประดับด้วยต้นไม้แช่แข็งอีกด้วย ตอนแรกก็ไม่หนาวพอเห็นต้นไม้เท่านั้นแหละ ข้อควรระวังเวลาเจอน้ำแข็งแบบนี้คือระวังลื่น ที่บอกเพราะไม่อยากให้ล้มคว่ำแบบเดียวกัน


วัดแรกที่ขับรถเข้ามาแล้วเจอเลยจะมีตัววัดฝังเข้าไปในหน้าผาหินและเชื่อมต่อกันด้วยบันไดเลียบๆหน้าผาไป ตรงจุดนี้ถ้ำอยู่ไม่สูงจากพื้นราบมากแต่มีความละเอียดอ่อนด้านสถาปัตยกรรมมากกว่าเมื่อเทียบกับถ้ำใหญ่ ดูแล้วได้อารมณ์เหมือนดูหนังจีนย้อนยุค

ขับรถเข้าไปอีกหน่อยก็จะเห็นว่าภูเขาที่ยอดมีหิมะคลุมอยู่เห็นชัดมากขึ้นและใกล้เข้าไปอีก ลุงคนขับบอกว่าภูเขานี้ชื่อว่า Qilian ซึ่งเราก็มีแผนจะไปเช่นกัน ข้อมูลนี้สำคัญเพราะลุงใช้เวลานานมากกว่าเราจะสื่อสารกันเข้าใจ ขับรถเข้ามาซักพักก็จะมาถึงหมู่บ้านเล็กๆซึ่งลุงจอดรถตรงนี้เป็นที่สุดท้ายให้เราดูภูเขาและเดินไปดูวัดในรูหน้าผาต่อ ซึ่งตรงจุดนี้มีบริการทัวร์ขี่ม้าตัวเล็กๆเข้าไปในภูเขาด้วยซึ่งน่าสนใจมากๆแต่เวลามันไม่พอ ว่าแต่ม้าตัวเล็กเหลือเกินขี่แล้วจะเดินไหวหรอเนี่ย แอบสงสาร :(

ตื่นเต้นกับภูเขาอยู่นานลุงเดินมาสะกิดว่าวัดไปอีกทางนึง คือต้องเดินข้ามเนินเล็กๆและยอดเนินก็คือเจดีย์สีขาวสององค์ที่มีฉากหลังเป็นภูเขาหิมะยิ่งใหญ่ถ่ายรูปเมามัน มาเที่ยวที่นี่ต้องยอมรับว่าสถานที่ต่างๆระหว่างทางทำให้ลืมจุดหมายหลักไปหลายทีแต่พอหันไปเห็นหน้าผายาวเหยียดและมีตึกยื่นๆออกมาไปจนสุดอีกด้าน ส่วนที่ใหญ่ที่สุดของวัดคือรูที่อยู่ด้านซ้ายที่มี 6 ชั้นด้วยกันและด้านในคือเป็นการเจาะหน้าผาเข้าไปทั้งหมดรวมถึงบันไดเดินขึ้นลงด้วย ข้างในแคบ ชันและบันไดยาวมาก ด้านบนสุดก็จะเป็นพระพุทธรูปที่ดูค่อนข้างเก่าแก่และมีพระสลักตามกำแพงหินมากมาย ขึ้นไปสุดแล้วก็ไหว้ขอพรให้เดินลงมาชั้นล่างโดยสวัสดิภาพอย่าให้ตกบันไดเลย


หลังจากออกมาจากวัดเราก็บอกลุงว่าให้พาไปร้านข้าวก่อนแล้วก็กะว่าจะจ่ายค่าข้าวให้ลุงด้วยเพราะลุงบริการดีมีการแนะนำจากที่เป็นคนท้องที่ ลุงก็พาเข้าเมืองไปจอดร้านนึงอ่านได้ความว่าก๋วยเตี๋ยวเนื้อ เข้าไปลุงสั่งให้เรียบร้อยใส่พริกมาน้ำแดงมากแต่ที่งงคือก๋วยเตี๋ยวเนื้อแล้วทำไมมีแต่เส้น! พริกที่ใส่ลงไปหาความเผ็ดไม่ได้เลย พอกินเสร็จจะลุกไปจ่ายเงินลุงไม่ยอมจะเลี้ยงซะงั้น ขึ้นรถมาจ้องหน้ากับแฟนแล้วก็เห็นตรงกันว่า “ลุงคงได้กำไรจากเราเยอะ”

 

เขาสีรุ้ง (Zhangye Danxia Geopark)

หลังกินข้าวแล้วผมก็บอกลุงว่าให้ไปส่งโรงแรมก่อนจะให้ไปต่อเลยแดดมันก็จะร้อนแถมถ่ายรูปมายังไม่น่าดู นอนพักนิดหน่อยให้หายเหนื่อยแล้วไปต่อไปที่ที่รอมานานคือ Zhangye Danxia Geopark หรือเขาสีรุ้งที่รู้จักกันทั่วไป ที่นี่เองเป็นสถานที่ที่คนจีนมาออกันเยอะๆอย่างที่เราเห็นกันทั่วไปตามทางจะเห็นมีเมาดิบร้องเพลงจีบกันวิ่งไล่กันให้กลัวตกเขากันบ้าง ภายในอุทยานมีรถบัสบริการเป็นรอบๆให้เรานั่งไปตามจุดต่างๆได้โดยไม่ต้องเดินหรือจะเดินก็ไม่ผิดกฎหมาย การจัดการถือว่าสุดยอดมาก สิ่งที่ชอบอีกอย่างคือในจุดถ่ายภาพสวยๆเค้าจะไม่ให้คนลงไปเดินเลอะเทอะทำให้ถ่ายรูปได้ง่ายไม่มีคนมาบังให้เสียอารมณ์

พูดเรื่องเขาสีรุ้งแล้วพอได้เห็นครั้งแรกมีอาการน้ำตาจะไหลเพราะในชีวิตไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ถึงแม้จะไม่ได้มี 7 สีอย่างชื่อแต่ว่าสีที่เห็นแบ่งกันชัดเจนมาก สีที่เห็นก็ไม่น้อยมีทั้ง ส้ม เหลือง แดง ชมพู เขียว ตอนที่มาถึงประมาณบ่ายสามซึ่งแดดก็ยังแรงพอสมควรผมกับแฟนก็เลยนั่งวนๆหามุมที่สวยที่สุดก่อนพระอาทิตย์จะตก รถบัสในอุทยานจะมีจอดหลายจุดด้วยกันซึ่งบอกตรงๆว่าฟังไม่ออกว่าเค้าไปจุดไหน แต่ไม่ต้องห่วงทุกจุดสวยกันคนละแบบไม่ผิดหวังแน่นอน


จากรูปด้านบนผมเน้นให้ดูความต่างของแสงในแต่ละช่วงของวันโดยเราเริ่มต้องแต่บ่ายสามและจบรูปสุดท้ายหลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วแป๊บเดียว

 

ตรงนี้เป็นจุดสุดท้ายแล้วในจางเย่สำหรับเรา จางเย่ยังมีที่เที่ยวอีกมากมายที่เรายังไม่มีโอกาสได้ไปเพราะประเทศเค้าใหญ่โตจะไปไหนขับรถนานมากกกก แต่หลังจากคิดวางแผนประมาณ 1 เดือนมันไม่มีทางจะเก็บให้หมดแล้วได้รูปสวยๆได้เลย บางทีการปล่อยวางคือทางที่ดีที่สุด

ก่อนจะจบวันผมก็ปรึกษากับลุงคนขับว่าถ้าจะจ้างไป Qilian จะแนะนำมั้ยถ้าไปแค่คืนเดียวเพราะเวลามีน้อย แต่ก็ต้องใจสลายเมื่อลุงบอกว่ามันจะไม่คุ้มค่ารถและความเหนื่อย (ของลุงคนขับ) ซ้ำแล้วแฟนยังให้ดูว่าอากาศติดลบ 16 องศาแบบที่ไม่ได้คาดไว้ว่าจะหนาวเบอร์นี้ เราเลยต้องตัดใจไม่ไปและกลับซีอานในวันรุ่งขึ้น


ภาพด้านล่างเป็นวิวที่เห็นจากหน้าต่างรถไฟทั้งขาไปและขากลับ ภูเขาหิมะที่เห็นก็คือ Qilian ที่ตั้งใจจะไปแต่พลาดนั่นเอง ครั้งหน้ายังมีมาใหม่แน่นอน



ดู 638 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page